วันนี้(14 ก.พ.)นายวินท์ สุธีรชัย สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)โพสต์เฟสบุ๊คระบุว่า "วันนี้ ผมได้รับโอกาสในการเรียนรู้วิชาการเมืองจากปรมาจารย์ด้านการเมืองที่มีประสบการณ์อันยาวนานเกือบ 60ปี
ผมได้มีโอกาสพบกับ “อาจารย์ไตรรงค์” ครั้งแรกเมื่อต้นปี 2565 โดยการแนะนำจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งพาผมไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการเมืองกับอาจารย์ไตรรงค์ ซึ่งตอนที่ผมเข้าวงการธุรกิจใหม่ๆ ผมก็ได้ใช้เวลาช่วงแรกในการนัดพบและเรียนรู้กับผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์จำนวนมากเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากผู้ใหญ่ท่านอื่นๆให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ผู้ใหญ่ในวงการธุรกิจบางท่านทำงานในบริษัทคู่แข่งกับบริษัทที่ผมทำ ผมก็พยายามนัดพบเพื่อไปเรียนรู้หากท่านยินดีพบเรา(ซึ่งก็มีหลายท่านยินดีแลกเปลี่ยนและหลายท่านที่ไม่ปฏิเสธการนัดพบ) และเนื่องจากผมไม่เคยเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับใครในอดีต(เพราะในอดีตธุรกิจที่ทำจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างเยอะจึงไม่ได้สัมผัสการเมืองในประเทศไทยโดยตรง) ผมจึงต้องการพบปะพูดคุยกับผู้มีประสบการณ์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เห็นภาพกว้างและภาพลึกของการเมืองไทย
หลังการพูดคุยหลายครั้งและได้ไปเยี่ยมบ้านอาจารย์ สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดคือ ผู้ใหญ่อายุย่าง 79 ปี ท่านนี้ มีความตั้งใจที่จะนำพาประเทศไทยอันเป็นที่รักของผมไปสู่จุดที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
#สมถะดั่ง ดร.ป๋วย:
หากเราจินตนาการ บ้านของ อดีตเลขาผู้ว่าแบงก์ชาติ “ดร.ป๋วย” (ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์), อดีตโฆษกรัฐบาลและโฆษกส่วนตัวนายกรัฐมนตรี “ป๋าเปรม”(พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์), อดีตรัฐมนตรี 4 สมัย และ อดีตรองนายก 2 สมัย เราคงนึกว่าบ้านผู้มีตำแหน่งขนาดนี้คงใหญ่โตดั่งคฤหาสน์ แต่เมื่อผมไปพบท่านในบ้านบนพื้นที่ไม่กี่ไร่ในพื้นที่ชานเมืองกรุงเทพฯ และ ท่านเลี้ยงอาหารใต้ที่เรียบง่ายที่ทำโดยคนสนิท เช่น ข้าวยำปักษ์ใต้และหมี่กะทิ โดยท่านกล่าวว่าสมัยเรียนจบได้ที่ 2 ของรุ่น ดร.ป๋วย ก็พาไปเลี้ยงอาหารง่ายๆแบบนี้ โดยกล่าวว่า “แค่นี้ก็อิ่มท้องแล้ว”.... ทำให้ผมมั่นใจว่าอาจารย์เป็นคนที่ได้สานต่อความสมถะของ ดร.ป๋วย และ เจตนารมณ์ในการพัฒนาประเทศไทยของ ดร.ป๋วย มาโดยตลอด.... โดยอาจารย์ได้ประกาศไปแล้วว่าจะไม่รับผลประโยชน์ทางการเมืองใดๆทั้งสิ้นรวมถึงไม่รับตำแหน่งทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมืองโดยไม่หวังผลตอบแทนดั่ง ดร.ป๋วย อย่างแท้จริง
#รัฐบาลปราบกบฏของ_ป๋าเปรม:
ชีวิตอาจารย์เต็มไปด้วยเรื่องเสี่ยงตาย หลังจากที่อาจารย์ต้องหนีตายจากการรัฐประหารหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา เพราะ ดร.ป๋วย และคนใกล้ชิดทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์.... อาจารย์ได้เข้ามาเป็นโฆษกรัฐบาลและโฆษกส่วนตัวของ ป๋าเปรม ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ใกล้ชิดที่สุดของป๋าเพราะต้องในยุคนั้นป๋าพึ่งพาโฆษกในการสื่อสารกับประชาชนเป็นหลัก และก็ได้มาเสี่ยงตายอีกครั้งคือการที่รัฐบาลป๋าต้องปกป้องประเทศไทยจากการรัฐประหารถึงสองครั้ง (กบฏยังเติร์ก ปี 2524 และ กบฏ 9 กันยายน 2528) เหมาะที่จะเรียกว่าเป็น “รัฐบาลปราบกบฏ”
#ซื่อสัตย์_ซื่อตรง_ไม่โกง_ไม่กิน:
อาจารย์ยังเล่าให้ฟังว่ารัฐบาลป๋าใส่ใจเรื่องการปราบปรามการทุจริตอย่างมาก และสามารถทำได้จริงเนื่องจากพรรคการเมืองทุกพรรคเป็นเพียงคู่แข่งไม่ทำลายกันทุกวิถีทางและทุกพรรคหวังที่จะเข้าร่วมรัฐบาลจึงส่งแต่คนมือสะอาดมาทำงานตามที่ป๋าต้องการ.... ปัจจุบันสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไปจากยุคนั้นมาก ทำให้มี“พ่อค้าอาวุธสงคราม”คอยยุยงให้แตกแยกเพื่อจะได้แสวงหาประโยชน์จากการแตกแยกของประชาชนพยายามทำให้เกิดการแบ่งแยกของประชาชนเป็นสองฝั่งและมาทำร้ายประชาชนด้วยกันเอง.... จุดยืนคือการรวมประชาชนเข้าด้วยกันและไม่ยินยอมกับการทำทุจริตคอร์รัปชัน
#ไหลรวมสู่รวมไทยสร้างชาติ:
ผมอยู่ในวงการการเมืองมาเกือบ 5 ปี ผมได้มีโอกาสพบคนมาเยอะมาก แต่ยังไม่เคยเจอคนแบบอาจารย์ไตรรงค์ จึงทำให้ผมสงสัยว่าหากอาจารย์เข้าไปในพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยคนไม่ดีอาจารย์จะช่วยเหลือประเทศไทยได้อย่างไร.... จนผมได้มาพบกับ หัวหน้าพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พี่ตุ๋ย).... ประโยคแรกที่ผมทักท่านหัวหน้าพีระพันธุ์คือ “สวัสดีครับท่านหัวหน้า” และประโยคแรกที่ท่านทักกลับมาคือ “ห้ามเรียกหัวหน้า ให้เรียกว่าพี่ตุ๋ย” (ดังนั้นต่อจากนี้ผมขอทำตามคำสั่งท่านโดยจะเอ่ยถึงท่านว่า “พี่ตุ๋ย” จนจบบทความนี้).... พี่ตุ๋ย เป็นคนที่ไม่ถือตัว ทั้งๆที่ท่านเคยเป็นถึง ท่านผู้พิพากษา ประธาน ปปช. และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มาก่อน.... นอกจากนั้น พี่ตุ๋ย ยังมีความตั้งใจที่จะแก้กฎหมายอันซับซ้อนของบ้านเมืองให้ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกมากขึ้น โดยท่านกล่าวให้ผมฟังว่า “การทำลายกฎหมายและกฎระเบียบอันซับซ้อนให้ประชาชนใช้ชีวิตง่ายขึ้น นี่แหละคือการกระจายอำนาจให้ประชาชนโดยตรง!!!!”.... หลังจากนั้นอีกไม่นานผมจึงได้มีโอกาสพบ นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ห้องประชุมเล็กๆห้องหนึ่งซึ่งพี่ตุ๋ยและอาจารย์ไตรรงค์มอบโอกาสอันล้ำค่าให้ผมเข้าไป.... ผมเคยคิดว่าท่านนายกเป็นทหารที่เคร่งขรึม แต่ในห้องนั้นท่านกลับเป็นผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์ขันเยอะ จนน้องๆในห้องต้องกลั้นขำกันใหญ่เพราะไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี.... แต่สิ่งที่ผมได้เห็นกับตาคือความตั้งใจของท่านนายกรัฐมนตรีที่ต้องการจะปราบปรามทุนจีนสีเทาที่เข้ามากัดกินในไทย ถึงท่านนายกจะไม่ได้โฆษณาออกมามากมายสู่สาธารณะ แต่ผมสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจริงของท่านและมั่นใจในความสามารถและความ“มือสะอาด”ของท่านโดยตรง ซึ่งเป็นไปตามที่เคยได้ข้อมูลมา.... เมื่อเห็นทั้ง ท่านนายก ท่านหัวหน้า(ขอโทษพี่ตุ๋ยด้วยครับที่ไม่ทำตามคำสั่งบ้างบางเวลา) และ อาจารย์ ผมจึงมั่นใจว่าบ้านหลังนี้ประกอบด้วยกลุ่มคนที่ถือว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน และน่าจะสามารถนำพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญได้อย่างยั่งยืนและใสสะอาด
#สานต่อ!!!!:
ในเมื่อ อาจารย์ไตรรงค์ ได้เมตตาให้โอกาสอันล้ำค่าให้ผมได้มีโอกาสเรียนรู้กับท่านอย่างใกล้ชิด ผมก็นึกถึงคำพูดของ Otto Von Bismarck (นายกรัฐมนตรีผู้รวบรวมแคว้นเล็กๆในทวีปยุโรปเพื่อก่อตั้งประเทศเยอรมนี) ที่ว่า “Only a fool learns from his own experience. A wise man learns from experience of others.” หรือแปลเป็นไทยว่า “มีแค่คนโง่เท่านั้นที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง คนฉลาดจะเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น”.... ดังนั้นผมคงไม่ยอมเป็นคนโง่ในสายตาของนายก Bismarck และ จะสานต่อความรู้และประสบการณ์ รวมถึงจิตวิญญาณในการพัฒนาประเทศของอาจารย์ไตรรงค์ โดยมี ดร.ป๋วย และ ป๋าเปรม เป็นอาจารย์ของท่านอีกทีหนึ่ง เพื่อนำความรู้ความสามารถเท่าที่ผมมีผลักดันประเทศไทยและประชาชนคนไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป