xs
xsm
sm
md
lg

สั่ง ปค.แจ้งเอาผิด 3 ข้อหา “เป็นต่อกรุ๊ป” มั่วจดมูลนิธิ พ่วงฟัน 6 มูลนิธิเชียงใหม่/เชียงราย รับ “กู้ภัยเถื่อน” แลกวีซ่าอยู่ใน ปท.นานขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“บิ๊กป๊อก” ไฟเขียว ปค. แจ้งความ สน.นางเลิ้ง เอาผิด 3 ข้อหา “เป็นต่อกรุ๊ป” มั่วจดทะเบียนมูลนิธิ ประสาน DEs ฟัน พร้อมให้อำนาจ ผู้ว่าฯ เอาผิดตามหลักฐานในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิจังหวัด ส่วน 6 มูลนิธิเถื่อน “เชียงใหม่-เชียงราย” จ่อฟ้องศาลขอสั่งปิดทั้งหมด หลังพบ รับสมัคร “อาสามัครกู้ภัย” เป็นเท็จ แลกให้ได้รับวีซ่า อยู่ในเมืองไทยยาวนานขึ้น ส่อทำกิจการอื่นที่ผิดกฎหมาย

วันนี้ (13 ก.พ.) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ระหว่างการประชุมติดตามการขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ที่มี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) เป็นประธาน

พลเอก อนุพงษ์ ได้กำชับผู้บริการกระทรวง เร่งพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานมูลนิธิ สมาคม โดยต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐาน และการดำเนินงานต่างๆ อย่างละเอียด รอบคอบ ถี่ถ้วน ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด และหากพบการกระทำผิดต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีละเว้น

โดยกรมการปกครอง ได้รายงานถึงความคืบหน้า กรณีมีการใช้ชื่อระบุว่า “มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป” ไม่ปรากฏตามทะเบียนในฐานข้อมูล ได้ตรวจสอบทั้งในเวปไซต์ และเดินทางไปยังสำนักงาน สถานที่ที่ระบุว่า เป็นมูลนิธิแล้ว

“พบว่า เป็นการรวมตัวกันของผู้บริหารหลายบริษัท โดยอ้างว่าดำเนินการทางสาธารณกุศล โดยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ ภายหลังได้รวบรวมพยานหลักฐาน ในความผิดตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับมูลนิธิ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.เรี่ยไร”

ปค. ยังรายงาน การตรวจสอบ อีก 6 มูลนิธิ ใน จ.เชียงใหม่ และเชียงราย กรณีชาวต่างชาติเข้าประกอบธุรกิจในไทยโดยใช้วีซ่าผิดประเภท พบว่า บางแห่งไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับอาสาสมัคร แต่กลับมีการรับรองอาสาสมัครจำนวนมาก

“มีการรับสมัครอาสามัคร อันเป็นเท็จ มิได้เป็นอาสามัคร (กู้ภัย) จริง แต่เพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับวีซ่า ที่มีระยะเวลาอยู่ในประเทศไทยยาวนานขึ้น เพื่อดำเนินกิจการอื่นที่ผิดกฏหมาย”

กอปรกับที่ตั้ง “สำนักงานใหญ่และสาขามูลนิธิ” บางแห่งไม่มีสภาพที่จะดำเนินการต่อได้แล้ว แถมไม่มีการรายงานผลการดำเนินการต่อนายทะเบียน ตามข้อ 13 ของกฎกระทรวงว่าด้วยการจดทะเบียน มูลนิธิ การดำเนินกิจการ และทะเบียนมูลนิธิ พ.ศ. 2545

ปค. ระบุว่า ล่าสุด ได้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการร้องขอต่อศาล ให้มีคำสั่งยกเลิก มูลนิธิดังกล่าวแล้ว 2 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการข้างต้นอีก 2 แห่ง และอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน 1 แห่ง โดยมี 1 แห่ง ที่ยอมยกเลิกมูลนิธิเอง

ด้าน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กรณีของ “มูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป” วันนี้ ได้มอบหมายให้ พนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง

ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับจดทะเบียนมูลนิธิ ไปแจ้งความต่อ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของมูลนิธิเป็นต่อ

“หลังพบว่า ไม่ได้มีการจดแจ้งขออนุญาตก่อตั้งมูลนิธิ ทั้งนี้ การดำเนินกิจกรรมต่างๆ และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่สาธารณชนในชื่อของมูลนิธิเป็นต่อกรุ๊ป เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย ใน 3 ความผิดฐาน”

คือ 1) ผิดพระราชบัญญัติกำหนด ความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. 2499 ที่ได้ใช้คำว่า “มูลนิธิ” ประกอบกับชื่อในดวงตราและเอกสารอื่นเกี่ยวกับธุรกิจ โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ

2) ผิดพระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487 มาตรา 8 ประกอบมาตรา 17 และ 3) ผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 นำข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์

นอกจากนี้ ได้กำชับให้กรมการปกครองได้บูรณาการประสานงานการทำงานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามอย่างใกล้ชิด เพื่อทำการสอบสวนขยายผลต่อไป

ยังได้ลงนามหนังสือถึงปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DEs) ภายหลังกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ https:/www.pentorfoundation.com ซึ่งการกระทำของบุคคลที่แอบอ้างใช้คำว่า “มูลนิธิ” ผ่านเว็บไชต์ดังกล่าวข้างต้น

อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายและเป็นการกระทำที่อาจทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่ากิจการนั้นเป็นมูลนิธิที่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

อาจเป็นการกระทำโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 เพื่อกระทรวง DEs พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

“ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิจังหวัดกำชับนายอำเภอทุกอำเภอตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิต่างๆ ที่อาจเกี่ยวพันกับธุรกิจผิดกฎหมายว่ามีการขออนุญาตก่อตั้งมูลนิธิ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย”

รวมทั้งตรวจสอบการดำเนินกิจการของมูลนิธิที่ได้มีการก่อตั้งแล้ว หากพบความผิดปกติทางการเงิน หรือไม่ได้มีกิจกรรม หรือมีการดำเนินการที่เข้าข่ายความผิด ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น