xs
xsm
sm
md
lg

“เพื่อไทย”ข้ออ้าง ประชาธิปไตยพังทลาย !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 เจ๋ง ดอกจิก - ทักษิณ ชินวัตร - จตุพร พรหมพพันธุ์ - สมหวัง อัสราษี
เมืองไทย 360 องศา

สำหรับพรรคเพื่อไทย นาทีนี้ถือว่า“ยันต์ประชาธิปไตย” ที่ตัวเองและพวกตัวเองนำมาแปะไว้ตรงหน้าผาก ใช้แอบอ้างมานานนับสิบปีได้พังทลายลงไปแล้วในพริบตา หลังจากในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาถูก “คนกันเอง” หรือจะเรียกว่า “ลูกน้องเก่า” ออกมาแฉธาตุแท้จนสิ้นไส้ ประกอบกับพฤติกรรมของตัวเองที่แสดงออกมาให้เห็นมันก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ และไม่อาจใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” หากิน หรือผูกขาดได้อีกต่อไป

แม้ว่าไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อนอะไรมากมาย คนส่วนใหญ่สังคมล้วนรับรู้กันอยู่แล้วว่า คนพวกนี้ไม่ใช่นักประชาธิปไตยในสายเลือด เพียงแต่อาศัยกลไกและผลิต “นโยบายประชานิยม” ออกมาให้ชาวบ้านได้เสพติด ซึ่งประชาธิปไตยในความหมายของพวกเขาก็เพียงแค่ “การเลือกตั้ง”เท่านั้น ทั้งที่เบื้องหลัง หรือต้นตอล้วนเคยพินอบพิเทาคนที่ถูกนิยามว่าเป็น “เผด็จการ” มาก่อน

หากโฟกัสเฉพาะ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่หลายคนเคยรู้มานานว่า เขาเคยอ่อนน้อมเข้าหาผู้นำทหารที่เคยทำรัฐประหารท่ามกลางเสียงนินทาว่ามีเรื่อง “สัมปทานดาวเทียม” เมื่อหลายปีก่อนมาเกี่ยวข้อง ซึ่งสำหรับคอการเมืองที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิด รับรู้กันอยู่แล้ว ขณะเดียวกันไม่กี่วันก่อน เรื่องดังกล่าวก็ถูกนำมา “กล่าวซ้ำ” โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มหลอมรวมประชาชน อดีตประธาน นปช.หรือ “คนเสื้อแดง” เรียกว่า “สากไส้” นายทักษิณ ออกมาหมดพุงก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างสถานการณ์รุนแรงในม็อบเพื่อหวังผลทางการเมืองและให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยไม่สนใจมวลชนและแกนนำ ทั้งที่คนเหล่านี้ต่อสู้ให้กับเขา

“เพราะเจ้าของจ่ายค่าเวทีตัวจริงนั้น เขาไม่ต้องการให้ยุติเวที แต่ทุกคนถอดใจหมดแล้ว ผมอธิบายให้ฟังว่าประชาชนอย่างไรก็ไม่กลับ เมื่อเขาไม่กลับแล้ว คิดจะลงเลือกตั้ง คุณจะมีหน้าไปพบคนอีกหรือ ถ้าวันนั้นไม่มีการคิดเอาอีกชุดหนึ่งซ้อนยึดเวทีแล้ว ก็ยังพอถูไถอธิบายกับประชาชนได้ แต่ทุกคนก็เห็นให้ยุติการชุมนุม แล้วเราก็กล่าวคำลากัน ผมพูดทิ้งท้ายว่า พฤษภา 2535 ผมอยู่ในบรรยากาศนำการต่อสู้คนเดียวที่รามคำแหงมาแล้ว ผมจึงขออยู่ส่งประชาชน และก็แยกย้ายกันไป" นายจตุพร เล่าถึงเหตุการณ์การประชุมหารือยุติชุมนุมหรือไม่ ซึ่งในช่วงนั้น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” ยังไม่ถูกสไนเปอร์ยิงเสียชีวิต”

นายจตุพร ระบุว่า จะมีการวางแผนซ้อนยึดเวทีอยู่แล้ว และคนที่ทำได้มีอยู่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งพอประชุมแกนนำเสร็จ ตนก็ได้รับโทรศัพท์จาก ทักษิณ ชินวัตร โทรมาถาม ซึ่งเรื่องนี้ไม่ควรพูดเลย แต่เมื่อนายอดิศร ยกเรื่องนี้มาโดยทักษิณ บอกว่า “หยุดเวทีได้อย่างไร ผม(ทักษิณ)ได้อะไร”

พร้อมทั้งย้ำว่า ตนรู้เรื่องนี้มาแต่ต้นว่าจะมีการซ้อนยึดเวทีชุมนุมขึ้น แล้วจะเกิดความรุนแรงไปอีกมุมหนึ่ง และจะคุมประชาชนไม่อยู่ จึงจำต้องหักทุกคน ตนบอกทักษิณว่า ถ้าอย่างนั้นเพื่อให้เวทีเดินต่อ ส่วนแกนนำคงไม่อยู่ครบแล้ว เราจึงตกลงกันว่า คนที่เคยเป็นลูกพรรคของทักษิณให้ไปเคลียร์กัน ส่วนบรรดาสายนักเคลื่อนไหว ตนจะเคลียร์เอง ทั้งๆ ที่ช่วงนั้นแกนนำเหลือตนอยู่คนเดียว

“ทักษิณก็ไปเคลียร์กับนักการเมือง ผมก็เคลียร์กับนักเคลื่อนไหว เวทีจึงเดินมาถึง18 พ.ค. วันที่วุฒิสภามาเจรจา และมาเกิดเหตุการณ์19 พ.ค. ซึ่งเป็นความเจ็บปวดขมขื่น วันนั้นถ้าเราไม่ยืนแข็งแรงแล้ว ประชาชนหน้าเวทีก็ไม่กลับ เจ้าของเวทีก็ไม่เลิก และอีกชุดหนึ่งจะเข้ามาซ้อนยึดเวที ถ้าผมไม่อยู่คานกันเอาไว้ ในทุกนาทีของสถานการณ์โอกาสตายมี 100% อยู่แล้ว...และหากได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ก็ไม่ได้ออกจากปากผม ซึ่งผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ทั้งๆ ที่ไม่อยากเล่าเลย” นั่นเป็นคำพูดของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เปิดเผยเบื้องหลัง

นอกเหนือจากนี้เขายังเปิดโปงอีกว่า นายทักษิณ ชินวัตร เป็นคนโกหกหลอกลวง “ไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่เป็นนักธุรกิจการเมือง คิดแต่เรื่องกำไรขาดทุนเท่านั้น” และที่สำคัญ“เป็นสุนัขยังไม่ได้เลย เพราะไม่ซื่อสัตย์”

นั่นทำให้ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยต้องจุกอก เพราะจนถึงบัดนี้ยังไม่มีการตอบโต้ชี้แจงออกมาจากปากของเขาว่าสิ่งที่ถูกกล่าวหาแบบหนักหน่วงนั้นจริงหรือไม่จริงอย่างไร แม้แต่พรรคเพื่อไทยและแกนนำพรรคก็ยังไม่มีการตอบโต้ เนื่องจาก “ไม่กล้า” เพราะเกรงว่าจะถูกแฉลึกลงไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะหลังจากนั้นเมื่อสองวันก่อน ก็มีอดีตแกนนำคนเสื้อแดงอีกสองคนที่หันหลังให้กับ “ระบอบทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยอย่างไม่ใยดี แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาก็คือ พวกเขาย้ายข้ามฟากมาที่พรรครวมไทยสร้างชาติ พลิกกลับมาร่วมงานทางการเมืองกับ“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แกนนำพรรค ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ
โดยอดีตแกนนำคนเสื้อแดงดังกล่าวคือ นายสมหวัง อัสราษี และ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก อดีตแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เดินทางมายื่นใบสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นตัวแทนต้อนรับ พร้อมสวมเสื้อพรรคให้กับทั้งสองคน
นายสมหวัง ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ตัดสินใจมาร่วมว่า ตัดสินใจมายื่นใบสมัครเป็นสมาชิก เพราะคิดมานาน ได้เห็นการทำงานและติดตามข่าวของพรรคมาตลอด เห็นว่าพรรคนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ไม่มีอะไรแอบแฝง ซ่อนเร้น ตรงกับอุดมการณ์ของตน ทำให้คิดว่าพรรคนี้ช่างแตกต่างกับที่เคยอยู่มาในอดีต ซึ่งถือว่าเป็นความภูมิใจ และยินดีที่เข้ามาเป็นสมาชิกรวมไทยสร้างชาติ รับรองว่าจะให้ความร่วมมือในการทำงาน ถ้ามีโอกาสจะทำให้ดีที่สุด อุดมการณ์ของตนคือ มีหัวใจสามสี คือขาว น้ำเงิน แดง ไม่ว่าจะอยู่นปช. หรืออะไรก็ตาม แต่ก้นบึ้งหัวใจของตนเป็นแบบนี้มาตลอด

“ในการปราศรัยบนเวที ผมไม่เคยแตะต้องหรือพูดถึงสถาบันฯเลย ใครจะพูดอะไรก็พูดไป หากไม่อยากฟัง ผมจะเดินหนี แต่วันนี้ที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจ วันนี้พร้อมทุกเวลาที่จะลงสมัครในนามพรรคที่ชอบ ผมเห็นการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เสียสละแม้ว่าจะเกษียณอายุแล้วแต่ยังอุทิศตัวมาทำงาน ผมก็อยากจะเดินตามรอยแบบเดียวกับท่านนายกรัฐมนตรีเช่นกัน” นายสมหวัง กล่าว

ด้านนายยศวริศ หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนมีแนวความคิดที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งตลอดกว่า10 ปี จนมาถึงวันนี้ เห็นแล้วว่า บ้านเมืองไม่ควรมีความแตกแยกอีกต่อไป ทุกคนต้องหันหน้าเข้ามาสามัคคีกัน ไม่มีแดง ไม่มีเหลือง ไม่มีนกหวีด หรือพันธมิตรฯ แต่ต้องหันหน้ามาพัฒนาประเทศด้วยกัน ไม่เช่นนั้นจะเสียเวลาทำให้บ้านเมืองพัฒนาไปไม่ได้ ที่ผ่านมาตนได้ลงพื้นที่ไปพบประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้เห็นว่าชาวบ้านมีความเจ็บปวด แต่ละจังหวัดมีปัญหาอยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน ค่าครองชีพ สินค้าแพง ดังนั้นสิ่งที่จะแก้ปัญหาได้ก็คือ พรรคการเมืองที่อยู่ในฟากรัฐบาลที่จะต้องนำเสนอนโยบาย เพื่อนำไปแก้ปัญหาให้กับประชาชน พร้อมกับกล่าวทิ้งท้ายอย่างเจ็บปวดว่า “สู้เพื่อเขา แต่เราติดคุก” ทั้งนี้นายยศวริศ ถูกจำคุกในคดีก่อการร้ายเป็นเวลา 5 ปี 4 เดือน

นอกเหนือจากนี้ ยังมีส.ส. และอดีตผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ว่าที่ผู้สมัครของพรรคก้าวไกล ที่แม้ว่าจะไม่ใช่พรรคเดียวกัน แต่ก็ถือว่าเป็น “แนวร่วมการเมืองเฉพาะหน้า” มีฐานมวลชนไกลเคียงกันและมักอ้างว่า “เสมอภาค ภราดรภาพ เสรีภาพ” อยู่เสมอ แต่ล่าสุด ก็ทนไม่ไหวย้ายมาสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยพวกเขาได้โจมตีการบริหารจัดการภายในพรรคว่า “ไม่ได้เท่ากัน” อย่างที่อ้างกัน พร้อมกล่าวเปรียบเทียบเช่นมัก “มีคำพูดสวยหรู แต่เบื้องหลังตรงกันข้าม” อะไรประมาณนี้

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่คำเปิดโปง นายทักษิณ ชินวัตร และคนในพรรคเพื่อไทยของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ รวมไปถึงการย้ายข้ามฟากของอดีตแกนนำคนเสื้อแดง และส.ส.และอดีตผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และเป็นว่าที่ผู้สมัครของพรรค ทุกอย่างก็ชัดแจ้งแดงแจ๋ ว่าสำหรับพรรคนี้คำว่า “ประชาธิปไตย” มันไม่มีจริง เป็นเพียงวาทกรรมหลอกลวงก็ได้ หรือในความหมายแค่การเลือกตั้งเท่านั้น เพราะตัวเองได้เปรียบหรือเปล่า

แต่ที่ผ่านมาจะเห็นว่าพรรคเพื่อไทยได้เคลมประชาธิปไตยไว้ในอ้อมกอดของตัวเองฝ่ายเดียว ขณะที่ผลักอีกฝ่ายว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตย แต่มาวันนี้เมื่อถูกเปิดโปงพฤติกรรม เช่นไม่ว่า กรณีย้ายพรรคหากใครย้ายเข้าพรรคเพื่อไทย เพียงแค่มี“คำขอโทษ” ก็กลายเป็นนักประชาธิปไตยหน้าตาเฉย ซึ่งตรรกะแบบนี้ทำให้ถูกเยาะเย้ยจนไปไม่เป็น ทำให้คำแอบอ้างประชาธิปไตย ต้องพังทลายลงไปทันที !!



กำลังโหลดความคิดเห็น