ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ไม่แผ่วเลย...ตำรวจ (อีกแล้ว) เช่า “เทสลา” คันละ 12 ล้าน! ราคาซื้อถูกกว่าเช่าบานตะไท?
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยุค “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั่งกำกับดูแล เริ่มต้นปี มีแต่เรื่องให้สังคมอิดหนาระอาใจ ตั้งแต่กรณี “ตู้ห่าว” ทุนจีนสีเทา มาจนถึง “รีดทรัพย์” ดาราสาวไต้หวัน
ล่าสุด ก็มีประเด็นที่ “รังสิมันต์ โรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ตั้งกระทู้ทั่วไปถามไปถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านสภาผู้แทนราษฎร นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันขรม
ว่าด้วย กรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เช่ารถเทสลา จำนวน 7 คัน เพื่อใช้ในภารกิจอารักขาแขกระดับวีไอพี โดยที่เป็นประเด็น ก็คือ เรื่องสนนราคาค่าเช่าอยู่ที่คันละประมาณ 12 ล้านบาท !
โปรดฟังอีกครั้ง..อัตราค่าเช่าอยู่ที่คันละ “สิบสองล้านบาทถ้วน” ซึ่งฝ่ายตั้งกระทู้ถาม “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธาน ก.ตร.เห็นว่า เป็นราคาที่แพงกว่าการซื้อขายในตลาดทั่วไป
คำถามจึงมีว่า มีความจำเป็นและคุ้มค่าในการจัดเช่าแค่ไหน อย่างไร?
“รังสิมันต์” ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เช่า “รถเทสลา รุ่น Model 3” ในราคาถึงคันละ 12 ล้านบาท เป็นราคาที่คำนึงถึงความคุ้มค่าสูงสุดแล้วหรือไม่ เพราะหากซื้อขายตามราคาท้องตลาด รวมถึงค่าบำรุงรักษา ซ่อมแซม ราคาจะอยู่ที่คันละไม่เกิน 4 ล้านบาท
ดังนั้น หากการเช่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เหตุใดราคาเช่าจึงสูงผิดปกติ และกลายเป็นข้อครหาต่อสังคมที่จะหาคำตอบ
สำหรับ “Tesla Model 3” ที่ตำรวจเช่า เท่าที่สำรวจในเว็บไซต์ จะบอกไว้ว่ามีให้เลือก 2 รุ่นย่อย พร้อมราคาเริ่มต้นอยู่ที่ THB 1,759,000 บาท ถึง 4,290,000 บาท
ส.ส.ก้าวไกล อภิปรายไว้ว่า เข้าใจว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัดสินใจเช่าเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ แต่การที่มูลค่าเฉลี่ยออกมาสำหรับใช้ในการเช่า ระยะเวลา 4-5 ปี อยู่ที่ 12 ล้านบาท เป็นราคาที่อธิบายกับสังคมไม่ได้ แม้ในขณะนั้นรถเทสลา จะยังไม่ได้ทำการตลาดเอง แต่หากซื้อก็มีราคาไม่เกินคันละ 4 ล้านบาทดังกล่าว และโดยทั่วไปของรถยนต์ไฟฟ้า ราคาค่าซ่อมบำรุง ก็ถูกกว่ารถสันดาปทั่วไป
นอกจากนี้ หากไปเทียบกับการเช่ารถอื่นๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น โครงการเช่ารถ 275 คัน เพื่อปราบปรามอาชญากรรมยาเสพติด มูลค่าตกเฉลี่ยอยู่เพียงคันละ 1.8 ล้านบาทเท่านั้น เหตุใดจึงเลือกที่จะใช้รถเทสลา แทนที่จะเป็นรถสันดาปที่ราคาไม่สูงมาก
งานนี้ “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้มาตอบกระทู้แทนนายกรัฐมนตรี บอกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีภารกิจหลักสำคัญในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยให้แก่แขกวีไอพี ซึ่งต้องดูแล 24 ชั่วโมง และต้องไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีภารกิจในการปราบปรามอาชญากรรม รวมถึงดูแลพื้นที่สำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ รวมถึงเรื่องพาหนะ หากมีปัญหาขัดข้องจะสามารถมีพาหนะมาเปลี่ยนทันที เพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วง
สำหรับโครงการนี้ เริ่มในปี 2563 ได้มีการพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียของการเช่าและการซื้อ ทั้งการตัดสินใจเช่ารถไฟฟ้าและการเช่ารถสันดาป จนได้ข้อสรุปว่าการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลักประกันของความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจของหน่วย
นอกจากนั้น ยังระบุว่า การเช่ารถไฟฟ้า ช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องน้ำมัน และการซ่อมบำรุง ซึ่งจำเป็นต้องใช้รถทุกวัน หากเป็นรถสันดาป ต้องเสียค่าซ่อมบำรุงในราคาที่สูง แถมยังเป็นการช่วยลดมลภาวะในอากาศ และเรื่องเสียงในพื้นที่กรุงเทพฯ
พร้อมๆ กับการบอกว่า การดำเนินการเช่ารถเทสลาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ปฏิบัติตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งในเรื่องของราคานั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สืบราคาจากท้องตลาดทั่วไป แล้วกำหนดเป็นราคากลางที่จะเช่า และได้ทำหนังสือไปยังกรมบัญชีกลาง ในราคาที่จะเช่า ซึ่งมีหลักเกณฑ์และราคามาตรฐานในการเช่า เมื่อได้รับการอนุมัติการเช่าจากกรมบัญชีกลาง จึงทำตามระเบียบในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัด
เมื่อตัวแทนของ “ลุงตู่” ยกเหตุผลร่ายยาวมา ทาง “รังสิมันต์” ก็ว่าไม่ได้ติดใจในเรื่องของความจำเป็นในการนำรถมาใช้ในภารกิจเพื่อดูแลแขกวีไอพี แต่ที่ต้องถาม คือ มีความจำเป็นในการเลือกใช้รถเทสลา อย่างไร? ซึ่งในปี 2563 รถยนต์ไฟฟ้ายังไม่เป็นที่นิยม และยังไม่มีความสะดวกสบายในการเลือกใช้ อีกทั้งยังไม่ได้นำเข้าจากบริษัทใหญ่ของเทสลา ทำให้ราคาอาจสูงโดยใช่เหตุ รวมถึงเหตุผลที่แจงว่า ช่วยลดมลพิษ อาจไม่เป็นความจริง เนื่องจากใช้เพียง 8 คัน ส่งผลน้อยมากๆ จึงไม่มีน้ำหนักในเหตุผลที่ว่ามา
ดังนั้น จึงคิดว่า ในเวลานี้อยู่ในช่วงเศรษฐกิจปากท้องที่ยากลำบาก สิ่งที่ประชาชนอยากเห็น คือ การใช้เงินภาษีของพวกเขา ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด เชื่อว่า ยังมีรถที่ราคาถูก และคุ้มค่ากับภาษีของประชาชนมากกว่านี้
นี่ก็เป็นประเด็นที่ยกมาถกกัน ซื้อถูกกว่าเช่า หรือไม่ คุ้มค่าแค่ไหนสำหรับโครงการเช่ารถไฟฟ้าราคาสูงปรี๊ด ควรไม่ควรก็ลองไตร่ตรองกันดู
อย่างไรก็ตาม เรื่องดีงามหาไม่มีนี้ เรียกว่าไม่แผ่วเลยจริงๆ คุณตำรวจ.
**“อนุชา” ตัดสินใจร่วมทัพ “ลุงตู่” เข้า รทสช. ยืนยัน “สามมิตร” ไม่แตก แค่แยกกันโต
วันก่อน “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หนึ่งในแกนนำ “กลุ่มสามมิตร” ได้พูดถึงอนาคตของทางกลุ่ม ว่า จะยังอยู่บ้านเดิมกับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่คงจะอยู่ไม่ครบ ต้องแยกออกไปเติบโตกันบ้าง
...มันก็เหมือนครอบครัวใหญ่ มีลูกมีหลาน ก็ต้องออกเรือนกัน ถ้าออกเรือนไป ไปเติบใหญ่ ไปเป็นเถ้าแก่ ที่นู่น ที่นี่ ที่นั่น ได้มันก็ดี ถ้าออกเรือนไปแล้ว ไม่สามารถเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ได้ ก็เท่าทุน ซึ่งต้องให้โอกาสแต่ละคน ที่จะออกไปเติบโต ...
แล้ววันนี้ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หนึ่งในแกนหลักกลุ่มสามมิตร ก็บอกว่าจะเก็บกระเป๋าตามไปอยู่กับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
“ผมมีความสุขที่ได้ทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าคนอื่นจะมองท่านเป็นอย่างไร แต่ผมเห็นความจริงใจในการทำงานของท่าน...การที่ท่านสามารถทําให้รัฐนาวา ที่เป็นพรรคร่วมฯ ทํางานอยู่ด้วยกันถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่มีความจริงใจ หรือไม่ได้เป็นผู้บริหารพอสมควร คงไม่ได้มาถึงจุดนี้ ดังนั้น เป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความสามารถระดับหนึ่งเลยทีเดียว...”
“อนุชา” บอกว่า ตัดสินใจแล้ว ไปช่วย “ลุงตู่” แน่ แต่ตอนนี้ขอทำหน้าที่ ส.ส.ต่อไปก่อน จึงยังไม่ลาออกจาก พปชร. ส่วนการลงเลือกตั้งนั้น ตั้งใจจะลง ส.ส.เขต ที่ จ.ชัยนาท เหมือนเดิม
“ไม่มีการดีลอะไรทั้งสิ้น ผมทํางานการเมืองมานาน กล้าพูดได้เลยว่า ไม่เคยดีลการเมือง หรือผลประโยชน์แม้แต่ครั้งเดียว”
อย่างไรก็ตาม หากคิด วิเคราะห์ตามที่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ซึ่งเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของกลุ่ม บอกว่า แยกกันไปโตนั้น หมายถึง “ตำแหน่งรัฐมนตรี” ในอนาคต ซึ่ง “อนุชา” เป็น ส.ส.ชัยนาท จังหวัดเล็กๆ ไม่มี ส.ส.ลูกทีมที่เป็นกลุ่มเป็นมุ้ง เคยผ่านยุคเฟื่องฟู มีสปอตไลต์ส่อง เป็นถึงเลขาธิการพรรค พปชร.มาแล้ว แต่ปัจจุบัน “สันติ พร้อมพัฒน์” หัวหน้าซุ้มมะขามหวานเพชรบูรณ์ มารั้งตำแหน่งเลขาฯ พรรค แทน
ดังนั้น หากยังอยู่ที่ พปชร. โอกาสที่จะได้เป็นรัฐมนตรีคงยาก สู้ออกไปเป็นมือเป็นไม้ให้กับ “ลุงตู่” ยังมีโอกาสมากกว่า ดังนั้น “เสี่ยแฮงค์” จึงไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน
ส่วน “สมศักดิ์ เทพสุทิน” นั้น ระดับบ้านใหญ่สุโขทัย และเป็นถึงประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่า ยังคงอยู่ที่ พปชร.เหมือนเดิม
ขณะที่ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่ได้เป็นบ้านใหญ่คุมจังหวัด หรือมี ส.ส.ในสังกัดในมุ้ง จึงมีโอกาสที่จะไปอยู่กับ “ลุงตู่” เช่นกัน ไปลุ้นปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆ... เว้นเสียแต่ว่า “ลุงป้อม” ออกปากรั้งตัวเอาไว้ ด้วยเงื่อนไขที่ยากปฏิเสธ ก็อาจจะยังอยู่ที่เดิม
มีการวิเคราะห์กันว่า พรรคการเมืองในสายอนุรักษนิยมนั้น มี 3 พรรค ที่ต้องแย่งชิงคะแนนในกลุ่มฐานเสียงเดียวกัน นั่นคือ พรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม”... พรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “ลุงตู่” และ พรรคประชาธิปัตย์ ของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”
สำหรับ ส.ส.เขตนั้น แข่งกันที่ตัวบุคคล ทีมงาน เครือข่ายหัวคะแนนอยู่แล้ว ใครดี เด่น ดัง ก็ได้ไป ... ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ นั้นเป็นคะแนนจากกระแสความนิยมของพรรค ซึ่งใน 3 พรรคที่ว่านี้ “พรรคลุงตู่” น่าจะมีโอกาสได้คะแนนเสียงมากกว่าใครเพื่อน...คนที่ไม่ได้ลง ส.ส.เขต จึงคิดว่าน่าจะไปลุ้น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่พรรคลุงตู่ ดีกว่า
ว่ากันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มี ส.ส.ไหลออกจากพรรคนี้ ไปเข้าพรรคนั้น ข้ามขั้ว ข้ามฝั่ง กันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ยิ่งนายกฯส่งสัญญาณมาว่าจะยุบสภาช่วงเดือน มี.ค. จึงเชื่อว่าการย้ายพรรค ย้ายบ้าน จะยังไม่นิ่งแน่นอน