วันนี้ (22 ม.ค.) ที่บริเวณชุมชนโรงปูน เขตห้วยขวาง กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่พบปะประชาชนชุมชนโรงปูน ว่า เราต้องการมารับใช้ประชาชนชาว กทม. เราผ่านการเป็นรัฐบาลมา 4 ปีแล้ว ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่างๆ มาทั่วทุกภาคแล้ว แต่ถ้าเราสามารถนำมาเสริมในพื้นที่ กทม.ได้ ก็จะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากขึ้น แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะมีฐานส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด แต่คนต่างจังหวัดมาทำงานใน กทม.เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีพื้นที่และตัวแทนของเราใน กทม.ก็จะได้ร่วมมือกัน โดยที่เรามีผู้แทนของประชาชนมาบอกว่าเราจะต้องทำอะไร ประชาชนต้องการอะไร
“กทม.เป็นเขตบริหารพิเศษ เราก็ใช้ความสัมพันธ์การพึ่งพากันระหว่างหน่วยงาน อย่างเช่น พรรคภูมิใจไทยเรามีทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทั้ง 3 กระทรวงนี้ ถ้าเรามาเสริมให้ กทม.ได้มีเครือข่ายเพิ่มอีกสัก 3 กระทรวง คนที่ได้รับประโยชน์คือประชาชน คนเสียประโยชน์ไม่มี มีแต่คนมาช่วยงานเพิ่มมากขึ้น กทม.มีพื้นที่ใหญ่ แต่สถานพยาบาลยังน้อย ถ้าเราไม่ช่วยกัน คน กทม.จะมีอุปสรรคอย่างมากในเรื่องการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ดังนั้น ส่วนไหนที่เราสามารถเพิ่มเติมได้ในขอบเขตอำนาจตามกฎหมาย ของหน่วยงานที่เรากำดับดูแลอยู่ เราก็จะดำเนินการด้วยตัวเองได้เลย ส่วนไหนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจาก กทม. เราก็จะมาประสาน ไม่ใช่มาแย่ง มากั๊กกันทำงาน” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าว
เมื่อถามว่า ผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ กทม.จะมีกลยุทธ์การหาเสียงแตกต่างกับผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่อื่นอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า สิ่งที่ไม่แตกต่างคือทุกคนต้องการรับใช้ประชาชน และต้องแสดงให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน อย่างในเขตห้วยขวาง นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคภูมิใจไทย ตอนอภิปรายในสภา ก็มีแต่เนื้อหาสาระทั้งนั้น ไม่เคยอภิปรายดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่เคยอภิปรายเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับประชาชน เช่น เรื่องคลินิกชุมชนที่มีปัญหา ก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ได้มาร่วมงานกัน และแก้ไขปัญหา รวมถึงคนอื่นๆที่เป็นอดีต ส.ส.กทม.แล้วมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย เพราะเขาเห็นนโยบายที่เราทำมาตลอด 4 ปี ตามสโลแกน พูดแล้วทำ ทั้งที่มาจากบ้านนอกแท้ๆอย่างพรรคภูมิใจไทย ยังมาทำอะไรได้อย่างเต็มที่ เขาก็อยากให้เกิดสิ่งเหล่านี้ใน กทม.บ้าง เพราะเขาอาจไม่มีเครือข่าย กลไก หรือช่องทางเหมือนพรรคภูมิใจไทย จึงมาคุยกัน เมื่อเห็นพ้องต้องกัน ก็ชวนกันมาลงสมัครเสนอตัวให้คน กทม.ให้ลองใช้พรรคภูมิใจไทยเข้ามาทำงานให้