สตม.ตามรวบ 2 ต่างชาติจอมตุ๋น หลังประเทศต้นทางประสานขอตัว เผยรายแรกเป็นชาวจีนสวมรอยนักธุรกิจใหญ่ ชักชวนหลอกลงทุน เหยื่อสูญกว่า 1.4 พันล้านบ. ก่อนหนีเข้าไทยทางช่องทางธรรมชาติ ส่วนอีกรายเป็นผู้ต้องหาหนีคดีฉ้อโกงฯ เสียหายร่วม 600 ล้านบ.
วันนี้ (9 ม.ค.66) ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวการจับกุมชาวต่างชาติที่หลบหนีคดีเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย จำนวน 2 คดี โดยคดีที่ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม, กก.1 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้ร่วมกันจับกุมตัว MR.Shangguan หรือ นายฉางกวน (นามสมมุติ) อายุ 44 ปี ในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยได้รับการขอร้องให้ช่วยติดตามจับกุม นายฉางกวง จากสำนักงานกงสุล (ฝ่ายตำรวจ) ณ นครคุณหมิง เนื่องจากผู้ต้องหารายดังกล่าว ได้ฉ้อโกงประชาชนมีมูลค่าความเสียหาย กว่า 1.4 พันล้านบาท โดยการเปิดบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ และทำการชักชวนให้ประชาชนเข้าทำการลงทุน ซึ่งเป็นการหลอกลวง
ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหาได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ จึงได้ตรวจสอบและพบบุคคลมีตำหนิรูปพรรณคล้าย นายฉางกวว จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ต้องหารับว่าตนคือ นายฉางกวง จริง แต่ไม่มีหนังสือเดินทางจริง และรับว่าได้หลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทยจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางธรรมชาติ พร้อมกันนี้ได้ให้ดูหมายจับจากประเทศจีน ผู้ต้องหาก็รับว่าเป็นบุคคลในหมายจับดังกล่าว และจากการตรวจค้นตัว พบโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาจากประเทศจีน, เอกสารใบขับขี่สากลสัญชาติไต้หวันปลอมที่สั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ และเอกสารแบบรับรองรายการทะเบียนประวัติของคนต่างด้าวฯ ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษ โดยแสดงข้อมูลถึงชื่อบุคคลอื่นและสัญชาติอื่น แต่เป็นรูปของ นายฉางกวง ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ จึงได้ทำการตรวจยึด และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บก.ตม.5 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ส่วนคดีที่ 2 เป็นคำสั่งจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ให้ สตม.พิจารณาดำเนินการกับนายจง (นามสมมติ) คนต่างด้าว ซึ่งเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับและต้องการตัวไปดำเนินคดีในความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชน โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด คือ ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ซึ่ง นายจง ได้ร่วมกับพวกเปิดบริษัท และจ้างพนักงานมาทำหน้าที่โทรศัพท์หาลูกค้าเพื่อหลอกให้มาร่วมลงทุน โดยอ้างว่าบริษัทเป็นบริษัทที่สามารถทำบัตรเครดิตได้จำนวนมาก มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อกว่า 500 ราย มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 600 ล้านบาท และนายจงได้หลบหนีมายังประเทศไทยจากการสืบสวนและตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม.
โดย กก.1 บก.สส.สตม. พบว่า นายจง ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยทางด่าน ตม. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บก.ตม.2 เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2562 ได้รับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว 60 วัน และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปถึงวันที่ 20 ก.ย.2566 จึงได้เสนอขอเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ นายจง เนื่องจากเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 12 (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มีพฤติการณ์สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จากนั้นได้สืบสวนติดตามหาตัว นายจง ทั้งในพื้นที่กทม. และ จ.นนทบุรี จนทราบว่า นายจงจะเดินทางไปทำธุระที่ อ.บางกรวย จว.นนทุบรี จึงได้ประสานงานกับ ตม.จว.นนทบุรี เพื่อติดตามหาตัว นายจง จนกระทั่งพบตัว จึงได้แจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทราบ และนำตัวส่งกก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักรต่อไป
พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ กล่าวย้ำว่า สตม. ขอเรียนให้ทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทย และชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุข และความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิดกรุณาแจ้งมายัง สตม. ได้ทุกช่องทาง
พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวเสริมว่า ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับนโยบายของ สตช. โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดอย่างเข้มงวด.