"มงคลกิตติ์" ยอมรับตกใจหลังได้ฉายาดาวดับ จากสื่อสภา แต่ยังแถไม่โกรธกลับภูมิใจ เพราะเป็นแสงให้สว่างขึ้น อวดสื่ออยากให้เป็นดาวเด่นแต่กลัวคนว่า ยอมรับที่ผ่านมาวิ่งหาแสงเพื่อเลือกตั้ง โว 4 ปีที่ผ่านมาทำผลงานมากกว่า ส.ส.หลายคน ยันทำหน้าที่หลากหลายจะว่า"เสือก"ทุกเรื่องไม่ได้
วันนี้ (28 ธ.ค.) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงกรณีสื่อประจำรัฐสภาตั้งฉายา “ดาวดับ” ประจำปี 2565 โดยยอมรับว่า ตกใจที่ได้รับฉายา เพราะตั้งแต่เป็น ส.ส.มา 4 ปีไม่ติดชาร์ต มีติดชาร์ตครั้งเดียว ตอนเป็นคู่กัดกับนายสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.หลักสี่ พรรคพลังประชารัฐ และคิดว่า ปีนี้ไม่น่าจะมี แต่สื่อมวลชนก็คงเอ็นดู จึงขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่มอบฉายา “ดาวดับ” ตอนแรกเข้าใจว่า เป็นคำไม่ดี แต่เมื่อดูรายละเอียดก็เข้าใจว่า เหมือนเป็นการหาแสงจากคดีต่างๆ ต้องชี้แจงว่าการเป็น ส.ส.จะต้องทำหน้าที่และไปดูแลประชาชน อย่างกรณี น.ส. ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม ที่เมื่อถามว่า ไปหาแสงจะคุ้มหรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่ได้ไปดูเฉยๆ เพราะคดีติดตัวอยู่หลายคดี แต่ตนก็ได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมกรรมาธิการฯ จนได้ผลักดันกฎหมายต่างๆออกมาหลายฉบับ
นายมงคลกิตติ์ ยืนยันว่า 4 ปีที่ผ่านมา ตนมีผลงานมากมายมากกว่าส.ส.อีกหลายคน สิ่งที่ทำสำเร็จคือยับยั้งการจัดซื้อเครื่องบินการบินไทย จำนวน 38 ลำ งบประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดยที่เราไม่ต้องเป็นหนี้เขา และยังมีคดีต่อเนื่องจนถึงตอนนี้ คือคดีทุจริตสร้างสนามฟุตซอลที่ตนเสนอให้ตรวจสอบตั้งแต่ปี 2557 ปัจจุบันถูกดำเนินคดีไปหมดแล้ว และยังมีที่ไม่เป็นข่าวคือ คดีทุจริตครุภัณฑ์กรมอาชีวะศึกษา ขณะนี้แจ้งข้อกล่าวหารัฐมนตรีหมดแล้ว และยังมี ส.ส.บางคนในสภานี้โดนข้อกล่าวหาแล้วแต่เป็นความลับ หรือแม้แต่คดี ตำบลละ 5 ล้านสมัย คสช. ที่ตอนนี้นายอำเภอหลายคนถูกไล่ออกไปแล้ว แต่ตนถูกฟ้องคดีหมิ่นประมาท แต่สุดท้ายก็ถอนคดี
"ผมมีหน้าที่หลากหลาย จะไปบอกว่าเสือกทุกเรื่องมันไม่ได้ ถามว่าผมเป็น ส.ส.หาแสงหรือไม่ ยืนยันว่าผมจำเป็นต้องหาแสง เพราะถ้ามีแสงเยอะมันจะทำงานสะดวก เหมือนผีเวลามีแสงสว่าง มันก็ทำงานง่ายขึ้น เพราะผีวิ่งหนีหมด คนที่ไม่ถูกต้องก็จะวิ่งหนี ที่ผ่านสื่อจะว่าผมเป็นดาวดับผมดับในช่วงที่มีเมฆบังอยู่ พอเมฆหมอกหายไปก็สว่างเหมือนเดิม แต่ผมจำเป็นต้องมีสื่อให้ความกรุณาเพราะถ้าไม่มีสื่อผมก็ทำงานลำบาก ยิ่งเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ได้ซื้อเสียงเลือกตั้ง ไม่ได้จ้างสื่อ ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือควบคุมสื่อในการหาเสียง ยิ่งจำเป็นที่จะต้องพึ่งสื่อ และสื่อคงรู้จักผมอยู่แล้วว่าเป็น ส.ส.ส่วนน้อย ของ ส.ส.ที่ไม่ได้ซื้อเสียงหรือทุจริตมา ผมลงเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2550 ไม่ได้ซื้อเสียงแม้แต่บาทเดียว พรรคไทยศรีวิไลย์ไม่มีป้ายหาเสียงและไม่มีรถแห่ เน้นหาเสียงทางสื่อโซเชียลมีเดียและจากการทำงานที่มีแสงเยอะๆ ขอให้ภูมิใจในตัวผมเพราะผมทำหน้าที่ได้ 100%” นายมงคลกิตติ์ กล่าว
นายมงคลกิตติ์ ยังได้ยกมือไหว้ขอบคุณสื่อมวลชน สำหรับฉายาดังกล่าว พร้อมระบุว่า ไม่โกรธแต่ภูมิใจ ขอบคุณสื่อมวลชนอย่างมาก เพราะ ส.ส.มี 500 คน ส.ว.250 คน แต่คนที่อยู่ในสื่อตอนนี้มีแค่ 5-6 คนเท่านั้น และต่อไปตนก็ยังทำหน้าที่เช่นนี้ตลอดไปจนยุบสภา
เมื่อถามว่า ยอมรับว่า หาแสงจริงๆใช่หรือไม่ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า จำเป็นต้องหาแสง เพราะว่า ถ้ามีแสง ประชาชนจะได้เห็นว่าเราทำงาน และเราก็ทำงานจริงๆ ถ้าแสงตามเราไปต่อเนื่อง ประชาชนก็รู้ว่า เราทำงานตลอด เมื่อมีแสงเยอะ การเป็นพรรคการเมือง ก็ไม่ต้องใช้เงินในการหาเสียง ไม่ต้องถูกกดดันว่า จะต้องไปรับเงินจากเจ้าสัวนั้นเจ้าสัวนี้ ตนยอมขัดใจทุกคนถ้าประชาชนต้องการ ยืนยันว่า ไม่เสียความมั่นใจที่ได้ฉายาดาวดับ เพราะคำว่าดาวดับ เพราะต้องดับอยู่แล้ว สว่างไม่ได้ เพราะเปลืองแบต ให้มีเวลาพักบ้าง เวลาเมฆผ่านไป ตนก็ทำงานต่อ เพราะดาวสว่างแล้ว และนี่คือการหาเสียงโดยสุจริต และหาแสงโดยต้องเข้าหาสื่อ เพราะฉะนั้นคือ สื่อคือผู้มีพระคุณกับ ส.ส. จึงต้องกราบสื่อทุกคน
“ถ้าสื่ออยากเอื้อเฟื้อผมต่อ ก็ช่วยส่องแสงมาที่ผม จะได้ส่องแสงสะท้อนไปที่ประชาชน เพราะแสงขึ้นอยู่กับสื่อ ดังนั้นการที่สื่อให้ฉายาดาวดับเหมือนกับใช้แสงมาให้ผมอีกที ขนาด ส.ส.ในสภาเป็นร้อย ขนาดหมอชลน่าน ยังได้แค่ หมอ(ง)ชลน่าน ไม่ใช่เชิงบวก ผมรู้ว่า สื่อมวลชนอยากให้ผมเป็นดาวเด่น แต่ให้ไม่ได้เพราะมีพฤติกรรมที่ยังขัดอยู่ กลัวคนมาด่า ก็เลยให้ดาวดับ เพราะรู้ว่า ส.ส.มงคลกิตติ์ไม่ว่าหรอก เขาชอบด้วยซ้ำ ยืนยันไม่โกรธเพราะผมไม่ใช่ลุงตู่ ที่ได้ฉายาแปดเปื้อน ผมว่า ไม่ใช่แปดเปื้อน แต่เป็นผ้าดำ ไม่มีอะไรขาวเลยในตัว มืด แต่ดาวดับ ไม่ได้มืดด้วยตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับเมฆ มืดมาจากเมฆ แต่ลุงตู่ดำแล้วมาบัง ก็ทำให้ผมดับ พอลุงตู่ผ่านไป ผมก็สว่างวาบเหมือนเดิม” นายมงคลกิตติ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายมงคลกิตติ์ ในฐานะโฆษกกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ยังเปิดเผยอีกว่า ในวันพรุ่งนี้ (28 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการทหาร ได้เชิญ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมถึงผู้บัญชาการทหารเรือ ให้มาชี้แจงเกี่ยวกับเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง พร้อมขอฝากไปยังนายกรัฐมนตรีว่า หากนายกรัฐมนตรีคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากประชาชนก็ควรให้เกียรติสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการฯด้วยการเดินทางมาชี้แจงด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ในที่ประชุมจะขออนุมัติเพื่อให้คณะกรรมาธิการทหารได้เดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อขอข้อมูลจากบริษัทต่อเรือว่า เหตุใดเรือที่ไทยจ่ายเงินไปแล้ว 7 พันล้านบาท จึงไม่มีเครื่อง MPU และจะเปลี่ยนสัญญาได้หรือไม่