รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม. เห็นชอบให้ กฟผ.ยุติโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ กำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ เผยไม่กระทบความมั่นคงทางไฟฟ้าภาคตะวันตกที่มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง และมีแผนพัฒนาไฟฟ้าหมุนเวียนอื่นทดแทน
วันนี้ (20 ธ.ค.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยุติการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ ซึ่งตามโครงการจะมีการก่อสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เพื่อจ่ายไฟใช้ในภาคตะวันตก มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 2x9 เมกะวัตต์ (รวม 18 เมกะวัตต์)
ทั้งนี้ โครงการการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ เคยได้รับการอนุมัติจาก ครม. เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2559 มีวงเงินลงทุนตามโครงการ 3,542 ล้านบาท โดยโครงการฯ ได้รับการบรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558-2579 (แผน PDP2015) มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในปี 2562 และต่อมาได้รับการบรรจุในแผน PDP ปี 2561-2580 หรือ แผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ซึ่งมีกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในปี 2566
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า คณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติให้ กฟผ.ยุติการดำเนินโครงการฯ และนำเสนอกระทรวงพลังงานเสนอให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบตามขั้นตอน เนื่องด้วยที่ผ่านมา กฟผ. มีอุปสรรคเกี่ยวกับการดำเนินการจัดหาที่ดินสำหรับดำเนินโครงการฯ ซึ่งตามแผนจะตั้งอยู่บนลำน้ำแควน้อย บริเวณตอนล่างของเขื่อนวชิราลงกรณ โดยอยู่ห่างจากท้ายเขื่อนวชิราลงกรณ เป็นระยะทางตามลำน้ำประมาณ 22.5 กิโลเมตร และอยู่เหนือบ้านจันเดย์ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 2 กิโลเมตร ใช้พื้นที่ก่อสร้างประมาณ 180 ไร่ บนที่ดินที่มีเอกสารสิทธิทั้งหมด แต่ปรากฎว่า กฟผ. ไม่สามารถซื้อที่ดินเพื่อดำเนินโครงการตามรายงานศึกษาความเหมาะสมโครงการได้ เนื่องจากเจ้าของที่ดินมีความประสงค์ขายในราคาที่ต่อรองจนถึงที่สุดและสูงกว่าราคาที่ประเมินไว้ในรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการถึง 2 เท่า
ประกอบกับ กฟผ. มีข้อจำกัดทางเทคนิคในการคัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมทางวิศวกรรมสำหรับก่อสร้างเขื่อนสำหรับโครงการฯ ทำให้ไม่สามารถหาพื้นที่อื่นทดแทนได้ และเนื่องด้วยโครงการจะต้องใช้ระยะเวลาเตรียมการและก่อสร้างประมาณ 5 ปี โดยสภาพการณ์ในปัจจุบันจึงไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จเพื่อจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ได้ทันภายในปี 2566 ตามแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 กำหนดได้
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงประเด็นความคุ้มค่าของการลงทุนตามโครงการ ในสถานการณ์ด้านพลังงานปัจจุบันแล้ว กฟผ. ยังพบว่า ไม่มีความคุ้มค่ากับการลงทุน เทียบกับช่วงที่เริ่มศึกษาความเหมาะสมของโครงการในปี 2556 ที่ขณะนั้นยังพบว่ายังมีความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนอื่น แต่เมื่อการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ด้านพลังงานเปลี่ยนไป พบว่า ณ ปัจจุบันค่าไฟจากโครงการ มีราคาสูงกว่าพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น โครงการพลังไฟฟ้าแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเศรษฐกิจฐานรากกำลังการผลิตมากกว่า 3 เมกะวัตต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ กฟผ. รายงานว่า เมื่อยกเลิกโครงการแล้วไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เนื่องจากระบบไฟฟ้าในภาคตะวันตก มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่ง และมีปริมาณไฟฟ้าสำรองเพียงพอกับการใช้ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ อีก โดย กฟผ. ได้วางแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอื่นที่มีเสถียรภาพและคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่า