ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ชูวิทย์ vs สันธนะ คู่แรงพยาบาท ได้เวลาชำระแค้น เดิมพันคุก คือ ปลายทางสุดซอย!?
ช่วงนี้บรรดา “คอข่าว” ต่างบันเทิงเริงใจกันเต็มที่ หมดประชุมเอเปก ถึงคิวฟุตบอลโลก แถมด้วยปฏิบัติการจองเวรของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตเจ้าพ่ออ่าง ที่กำลังบดขยี้ขบวนการ “จีนเทา” ด้วยข้อมูลสุดลึก มีเป้าหมายพุ่งไปยัง “ตู้ห่าว” มาเฟียเลือดมังกรที่ยังดำดิน “กบดาน” ไม่ยอมโผล่
ตัดฉากปฏิบัติการล่ามาเฟียเลือดมังกร หันมาดูแรงพยาบาทที่นำแสดงโดยดาราถูกคู่ 2 พระหน่อ คือ “ชูวิทย์” กับ “สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตนายตำรวจที่มีความดี “งอม” จนถูกไล่ออก ถอดยศ เรียกคืนเครื่องราชฯ “เฮียชู” ชูวิทย์ ประกาศชัดว่า วันที่ 21 พ.ย.นี้ เขาจะเดินทางไปกระทรวงยุติธรรม นำเอกสารสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่างของ “สันธนะ” เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินมีความเชื่อมโยงกับใครบ้าง หากทำผิดกฎหมาย ก็จะเข้าสู่ขบวนการยึดทรัพย์ต่อไป
จากนั้น วันอังคารที่ 22 พ.ย. จะเข้าพบ “ทนายอนันตชัย ไชยเดช” ทนายกระดูกเหล็ก มอบหมายให้เอาผิด “สันธนะ” ฐานหมิ่นประมาท และ วันพุธที่ 23 พ.ย. ซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญ เขาจะเข้าพบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่รัฐสภา เพื่อมอบหลักฐานชิ้นสำคัญให้
ไทม์ไลน์ศึกจองเวรของ 2 คนดัง มีประมาณนี้ ส่วนจะสมค่าราคาคุยหรือไม่ ต้องรอพิสูจน์ในวันนั้น...
พูดถึงข้อกล่าวหาสารพัดของ “สันธนะ” ในเวลานี้ ต้องถือว่าค่อนข้างเพลี่ยงพล้ำ มีคุกตะรางวางข้างหน้าเป็นเดิมพัน จะบอกว่า เขามีพฤติกรรมขวางหูขวางตาคนมีอำนาจ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะผู้คนจำนวนไม่น้อยก็รู้สึกทะแม่งๆ ทุกครั้งเมื่อ “สันธนะ” ออกมาให้ข่าว นักข่าวเองก็คงรู้สึก แต่เพราะกลัวตกข่าว บ้างเป็นคนกันเองกับ “พี่ต่อ” ซึ่งวงการทราบกันดีมีใครบ้าง แทนที่จะเซ็นเซอร์บางข่าวของ “พี่ต่อ” กลับให้พื้นที่ข่าว “พี่ต่อ” เต็มแม็กทุกครั้ง
ย้อนรอยวีรกรรมของ “สันธนะ” ครั้งที่เจียนอยู่เจียนไปมากที่สุด ก็คือ คราวที่ออกมาปะทะกับ “พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา” นายตำรวจคนดัง ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ร่วมกับ อย.ยกขบวนไปตรวจร้านขายครีมเถื่อนภายในตลาดแอร์พอร์ต ย่านดอนเมือง เจ้าหน้าที่ตรวจพบร้านค้าทำผิดกฎหมายมากถึง 151 ร้านค้า ยึดครีมหน้าแหก กับเครื่องสำอางอื่นๆ ที่ไม่ได้มาตรฐานจำนวนมาก ซึ่งในระหว่างปฏิบัติการ มีอดีตนายตำรวจคนดังโผล่มาแจมด้วย...เขาคือ “พี่ต่อ” หรือ “รองต่อ” ผู้กว้างขวางนั่นเอง
เพื่อให้ได้อรรถรส ต้องรบกวนท่านผู้อ่านหาคลิปเก่ามาดูว่าบรรยากาศดุ เด็ด เผ็ด มันขนาดไหน สุดท้ายจบลงที่ตำรวจแจ้งข้อหาเอาผิด “สันธนะ กับพวก” รวม 11 คน ประกอบด้วย สันธนะ ชนะโชติ หรือ ตั๋ม สุขสุคนธ์ วรรณชัย หรือ แก้ว ใจเรือง วันเพ็ญ ผิวดำดี สิริชัย หรือ ชัย เหล่ากุลประสิทธิ์ ประนอม หรือ นอม แก้วสวัสดิ์ กฤษณะ หรือ ตั้ม หลำรอด คเณศ หรือ ต้น เปรมครุฑ อดิศักดิ์ หรือ โต้ง จันทร์ศรี อนุชา หรือ ทอม วรเดช และ อนุ หรือ ตุ๋ย สุขสุคนธ์ ฐานกรรโชกทรัพย์และมีพฤติการณ์เข้าข่ายอั้งยี่ซ่องโจร
ปฏิบัติการสยบ “พี่ต่อ” ในตอนนั้นเล่นเอาอดีตนายตำรวจคนดังเสียศูนย์ มีคลิปช่วงสาบาน “ถ้าผมผิดให้พ่อแม่ผมมีอันเป็นไป” เรียกว่า หัวจะปวดกันทั้งประเทศ กับคำสาบานแนวนี้ “พี่ต่อ” กับพลพรรคหายเงียบไปนาน กระทั่งศาลสั่งไม่ฟ้อง พี่ต่อกับลูกน้องได้รับอิสรภาพ เพราะคำให้การของพยาน ผู้เสียหายขัดแย้งกัน โดยตอนแรกระบุว่า พี่ต่อ กับพรรคพวกขุมขู่คุกคาม รีดเงิน แต่ตอนขึ้นศาล กลับยืนยันว่า เต็มใจจ่ายเป็นค่าบริการ และไม่มีใครพกอาวุธ ไม่มีคนขู่พี่ต่อ กับสมัครพรรคพวกจึงรอดตะรางออกมาได้
สำหรับเส้นทางทำกินของ “พี่ต่อ” นั้น สุดท้ายก็คงจะละม้ายคล้ายเหมือนกับคดีตลาดแอร์พอร์ต เพราะถ้าจะเล่นงานข้อหากรรโชกทรัพย์ อั้งยี่ ซ่องโจร เดี๋ยวก็จะซ้ำรอย เพราะ “ผู้ประกอบการสีเทา” ไม่ต้องการมีเรื่อง ไม่ต้องการปิดช่องทำกิน หรือแม้แต่ตำรวจเองท่านทั้งหลายลองดูซิ มีใคร หน้าไหนกล้ามาตอแยกับ พี่ต่อ ของน้องๆ บ้าง สัมภาษณ์ที แถลงข่าวที ก็จิกหัวเรียกบิ๊กตำรวจไอ้โน่น ไอ้นี่ ข่มแล้วข่มอีก
แม้แต่วิธีการง่ายๆ ที่ตำรวจมือปราบเคยทำกันในอดีต คือ กดดัน ลูกน้องนับ 10 ที่เดินล้อมหน้าล้อมหลัง หรือแม้แต่รถยนต์พาหนะที่ขับตามกันเป็นขบวน ไม่ตรวจกันบ้างล่ะ ถ้าเอาจริงก็คงได้ไรติดมือมาบ้าง คงไม่มีการ์ดที่ไหนพกหนังสะติ๊กไว้ป้องกันเจ้านายดอกนะ ง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่กล้าทำกัน...เพราะอะไร...เพราะอะไร...หรือกลัวถูกแฉ.... ให้มันได้อย่างนี้..พับผ่า!!??
แต่เอาเถอะสถานการณ์งวดมาขนาดนี้แล้ว สุดท้าย...วันจันทร์ อังคาร พุธ ที่จะถึงนี้ “พี่ต่อ” อาจไม่ได้ “ไปต่อ” วิเคราะห์ตามสถานการณ์ พี่มีโอกาสได้เข้าไปเซย์ฮัลโหลกับ “น้องโป้” สูงมากๆ
**ลุงตู่จะชิ่งลุงป้อม? คน พปชร. คำนวณโอกาสนั่งนายกฯต่อ บ้อท่า!
เอเปกปิดฉากไปเรียบร้อย กลับเข้าสู่โหมดการเมืองที่ต้องโฟกัสไปที่อนาคตทางการเมืองของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
เพราะคำพูดของลุงเองที่ว่าหลังเอเปก จะตัดสินใจอนาคตตัวเองจะไปทางไหน?
ที่แน่ๆ แนวโน้มที่ส่งสัญญาณว่า “อยู่ต่อ” จากที่อยู่มาแล้ว 6 ปี จะขอเวลาอีกไม่นานไปต่ออีก 2 ปี ให้ครบๆ จบลงไปที่ 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ บนเงื่อนไข “หล่อเลือกได“” ว่า จะเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคไหน ระหว่าง พลังประชารัฐ ของพี่ใหญ่ 3 ป. “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคใหญ่แกนนำรัฐบาลปัจจุบัน หรือไปพรรคใหม่ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไปเป็นตัวยืนกวาดต้อน กปปส. ปชป. และบางก๊กใน พปชร. ที่พร้อมเปลี่ยนโปรย้ายค่าย จะเสนอ “ลุงตู่” เป็นนายกฯอีกสมัย
ก่อนประชุมเอเปกจะเริ่ม มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า “ลุงตู่” ตกลงปลงใจจะไป รวมไทยสร้างชาติ ด้วยประจักษ์พยานแวดล้อมทั้งการพบปะ พีระพันธุ์ และการตั้ง “ดร.3 สี” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี เป็นที่ปรึกษา ยิ่งเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น
ตอนนี้ ฟังว่า คนในพรรคพลังประชารัฐของ “ลุงป้อม” หลายๆ คน อยู่ในภาวะร้อนรุ่มตัวรุมๆ ถ้า “ลุงตู่” ตีจาก “ลุงป้อม” แล้วอนาคตของ พปชร. จะเป็นอย่างไร?
คำถามสำคัญก็คือ เมื่อแม่น้ำแบ่งเป็นสองสาย พลังก็ย่อมลดลง ปลงไม่ตกว่าจะไปสายไหน และ “ลุงป้อม” ผู้ที่มีบารมี แต่ “ใช้ใจบันดาลแรง” จะมีแรง “ฮึดสู้” เกาะกุมความได้เปรียบเป็นพรรคใหญ่ได้อีกต่อไปไหวมั้ย ?
พูดกันตรงๆ ว่า ไม่มี “ลุงตู่” เป็นจุดขาย ชู “ลุงป้อม” เป็นเบอร์หนึ่ง สู้ศึกเลือกตั้งไปสู้กับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ที่คุยโวว่าจะแลนด์สไลด์ ตั้งแต่หัววัน มันจะไหวหรือเปล่า?
ไหนจะต้องต่อสู้กันเองกับพรรคร่วมอย่าง “ภูมิใจไทย” ที่สะสมจำนวน ส.ส. พร้อมลุยเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่ว่ากันว่า สรรพกำลังไม่ด้อยไปกว่าเพื่อไทย โอกาสเข้าวินเห็นกันชัดๆ จะถีบ พปชร. ลงไปเป็นพรรคคลาสเดียวกับ ปชป. ที่ร่อแร่ไม่รู้จะกลับมาได้กี่ที่นั่ง
เมื่อแนวโน้มเป็นเช่นนี้ ว่าแล้ว “วีระกร คำประกอบ” ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ที่ถนัดบท “โยนหินถามทาง” ซึ่งในทุกๆ ครั้งที่ พรรคลุงป้อม มีเหตุโดนกระแทกพรรคจะแตก “วีระกร” เจ้าเก่าก็จะออกมาทำหน้าที่นี้
ส.ส.นครสวรรค์ บอกว่า ในพรรคยังไม่ได้พูดคุยกันถึงกรณี “ลุงตู่” จะไปอยู่พรรคใหม่ เพียงแค่เรียนท่านเพื่อพิจารณาเฉยๆ หลังจากที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาว่า จะอยู่ได้ครบ 8 ปี คือ ถึงเดือนเมษายน 2568 หากมีการเลือกนายกฯ ในสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงเดือน ก.ค. 66 ก็จะอยู่ได้อีกแค่ 1 ปี 9 เดือน ดูแล้วไม่คุ้ม เพราะหลังจาก 1 ปี 9 เดือนไปแล้ว ก็ต้องมาโหวตเลือกนายกฯ ใหม่อีก สู้มาแตะมือแบ่งกันทำงาน ดีหรือไม่
นัยยะก็คือ หากแตะมือแบ่งกันทำงาน “ลุงตู่” ก็ยังมีบารมีเหมือนเดิม เป็นรองนายกรัฐมนตรี ความสำคัญก็ไม่ได้หย่อนไปกว่ากันเหมือนตอนนี้ที่ “ลุงป้อม” ทำหน้าที่ ทุกคนก็รู้จัก และมีความเกรงใจทั้งสองเท่าๆ กัน จึงเป็นที่มาของการเชิญ “ลุงตู่” มาสังกัด พปชร. ถ้าอยากช่วยงาน “ลุงป้อม” ก็ขอให้เข้ามาเป็นสมาชิกพลังประชารัฐ พรรคที่จะเชิญพล.อ.ประยุทธ์ ไปเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เชื่อว่า ถ้ามาพลังประชารัฐ จะดีกว่า เพราะพลังประชารัฐ อย่างไรก็เป็นแกนนำรัฐบาล จะไปอยู่พรรคเล็กๆ อย่างรวมไทยสร้างชาติ มันจะเหมาะสมหรือไม่ ?
นั่นเพราะ “รวมไทยสร้างชาติ” จะได้ ส.ส.ถึง 25 คน พอเสนอชื่อ “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ถึง 25 คน ก็จบเห่ ซึ่ง ลุงตู่ ไม่เล่นการเมือง ไม่ได้สังกัดพรรค ไม่ได้เล่นการเมืองอย่างไร ก็เชื่อว่าไม่เล่นการเมืองอย่างนั้น
ฉะนั้น จึงกล้าท้าพนันกันคนละ 1 โต๊ะจีนเลย แต่ก็ไม่มีใครรับคำท้า
สุดท้ายเขาฟันธงว่า “ลุงตู่” ไปรวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้ประโยชน์อะไร โอกาสจะเป็นนายกฯต่อมีน้อย แต่ถ้าอยู่ พปชร. ตามสูตรโอกาสก็ 50:50
นี่เป็นการคาดคำนวณประกอบสำนวน “โยนหินถามทาง” ของคน พปชร. แต่อนาคตของ “ลุงตู่” ก็ยังอยู่ที่ตัวลุงตู่ เป็นเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ที่ต้องรอคำตอบ...ก็โปรดติดตามกันต่อไปนะจ๊ะ