ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จบๆ ไปเถอะ บอลโลกจอดำก็ไปช่องทางธรรมชาติดีกว่าเตะหมูเข้าปากหมามั้ย??
อีกไม่กี่วันฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ จะเริ่มต้นขึ้น วันที่ 20 พ.ย.นี้ แต่ความคืบหน้าการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ เพื่อให้คนไทยได้ดู ล่าสุด ข่าวว่าการเจรจายังไม่เรียบร้อย มีเวลาอีก 2-3 วัน จะถึงเดดไลน์ ผลยังไม่รู้จะออกหัว ออกก้อย
ถ้ายังจำได้ไม่กี่วันที่ผ่านมา กสทช.เพิ่งอนุมัติเงิน 600 ล้านบาท จากจำนวนเต็ม 1,600 ล้านบาท ที่ให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย กำเงินไปซื้อลิขสิทธิ์ ที่บอกกันมา
“ดร.ก้องศักดิ์ ยอดมณี” ผู้ว่าการ กกท. คนที่มี “เผือกร้อน” ในมือ ให้ข่าวว่า อินฟรอนท์ เอเยนต์ของฟีฟา แจ้งมายัง กกท. ว่า ลดราคาจาก 42 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,600 ล้านบาท ให้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นั่นแปลว่า ส่วนต่างที่เดิม “บีบคอ” ขอเอกชนรายใหญ่ อย่างเบียร์ช้าง ปตท. และ ทรู มาได้ 400-500 ล้านบาท รวมกันแล้วประมาณ 1,000-1,100 ล้านบาท ยังไงๆ เงินก็ไม่พอซื้อได้
ถามว่า ทางเลือก กกท.จะทำอย่างไรได้จากนี้ หนึ่งนั้น ต้องรอดูท่าทีของฟีฟา จะลดให้ได้อีกหรือไม่ หรือ สอง กระเสือกกระสนโยกเงินรัฐจากที่อื่นมาโป๊ะ หรือสุดท้าย ยอมจำนนด้วยเงื่อนราคาที่สู้ไม่ไหว จำเป็นต้องปล่อยให้ “จอดำ” กันไป
นี่ถ้าเป็นอย่างหลัง เชื่อว่า สาธุชนคนไทยทั้งหลายอาจจะดีใจมากกว่าอดดูการถ่ายทอดสดบอลโลกครั้งนี้ เพราะราคาลิขสิทธิ์ที่บอกกันว่า ฟีฟาโก่งราคาแพงหูฉี่ตั้ง 1,600 ล้านบาท เป็นราคาที่เวอร์วังเกินความจำเป็น หลายๆ คนบอกว่า สู้นำเงินส่วนนี้ไปทำประโยชน์ด้านอื่นจะเกิดผลดีต่อคนในสังคมมากกว่า
ขณะที่ว่ากันตามยุคสมัยเทคโนโลยี 5G “คอบอล” ไม่ได้มีทางเลือกเดียวที่จะตั้งเกาะ “จอตู้” เหมือนเมื่อก่อนเสียเมื่อไหร่ ยังมีหนทางตาม “ช่องทางธรรมชาติ” หรือ ช่องทางการรับชมตามโซเชียลฯ ก็มีอยู่ดาษดื่น ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนลงแดง เพียงแค่ไม่ได้ดูทีวี
มิหนำซ้ำ เบื้องหน้าเบื้องหลังเรื่องการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ดูเหมือนเป็นงานที่มีผู้อยู่หลังฉาก กำกับการแสดงวางแผนเอาไว้หมดแล้ว เพื่อให้ทุกอย่างบรรลุเป้าหมายตัวเองและพวกพ้องได้ “เป๋าตุง” จากค่าส่วนต่างจากราคาจริงๆ ที่ควรจะเป็น
ว่ากันว่า ก่อนจะมีข่าวว่า ฟีฟาตั้งราคา 42 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น มีทีมเจรจาล่วงหน้าไปคุยกันกับเอเยนต์ฟีฟาแล้ว จะขอเท่าๆ กับสิงคโปร์ ที่ไปสืบทราบมาว่า ลอดช่องจ่ายแค่ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 894 ล้านบาทเท่านั้น พอเอากลับมารายงาน “ผู้มีอำนาจ” เหนือ กกท. และใกล้ชิดผู้ใหญ่ในรัฐบาล กลับทำเป็นไม่รู้จักทีมเจรจาที่ว่า โดยถามกลับไปว่า พวกคุณเป็นใคร? เล่นเอาทีมเจรจาทำตัวไม่ถูก อุตส่าห์ทำคุณ กะจะเซฟเงินให้ประเทศชาติ กลายเป็นคนที่ “ส.ใส่เกือก” เผือกซะงั้น
รายงานลับๆ บอกว่า งานนี้หมูเขาจะหาม ทะลึ่งเอาคานไปสอด ก็ “เขา” ตกลงกันแล้วว่า ราคาต้อง 42 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,600 ล้านบาทขาดตัว ยังไงๆ ก็ต้องตามนี้
ลองๆ บวกลบคูณหาร ราคาเกินจริงที่ไทยต้องจ่ายมากกว่าประเทศอื่นๆ ต้องมี 600-700 ล้านบาท!
มายาภาพตอนนี้ จึงออกมาว่าฟีฟายึกยัก ไม่ยอมลดราคา ขณะที่เดดไลน์ จี้ตูดที่ฟุตบอลใกล้จะเตะ กกท.ก็พยายามสุดฤทธิ์ในการเจรจา ซึ่งสุดท้ายอาจจะตกลงกันได้จบลงด้วยดี แม้จะยังแพงอยู่ก็สู้ไหวตามฟอร์ม
เรียกว่า จบด้วยการที่คนไทยได้ดูบอลโลก เงินหลวงบวกสปอนเซอร์ควักเงินลงขัน คนละ 100-200 ล้าน พอจ่ายค่าลิขสิทธิ์พอดิบพอดี
งานนี้ ไอ้โม่งผู้กำกับการแสดงและพวกพ้องเตรียมเปิดไวน์ฉลอง “วิน-วิน” ได้ทั้งกล่อง คอบอลชื่นชม แถม “เป๋าตุง” อีกต่างหาก
ถามว่า ไอ้โม่งเป็นใคร? สืบไม่ยากหรอก ถ้าหากมีใครสักคนไปกระซิบบอกถึงหู “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้ช่วยลงมาดูเรื่องนี้หน่อย จัดการให้เด็ดขาด..แต่จะมีใครกล้าไปบอกลุงหรือไม่ นั่นล่ะคือปัญหา
แหม...ถ้าลุงลุกขึ้นไล่บี้เรื่องนี้จริง จะเป็นคุณูปการกับประเทศชาติอย่างยิ่ง ถ้ายืนยันจะซื้อลิขสิทธิ์ก็ขอให้มีการตรวจสอบให้โปร่งใส ว่ากันตรงไปตรงมา แต่ถ้าให้ดี เอาดีๆ ไม่ต้องเกรงใจกัน ดัดหลัง “ไอ้โม่ง” ดัดหลังฟีฟ่า โก่งราคากันดีนัก ก็ยุส่งให้การเจรจาล่ม จบๆ กันไปเถอะลุง จะเป็นพระคุณอย่างสูง
บอลโลกจอดำ ก็ไปช่องทางธรรมชาติดีกว่าเตะหมูเข้าปากหมา ว่ามั้ย?!
**เฉลยแล้ว ดราม่าปลากุเลา ซื้อจากร้านป้าอ้วนตากใบ ทำน้ำราดมัสมั่นเนื้อโคขุนโพนยางคำเสิร์ฟผู้นำเอเปค
ราชาแห่งปลาเค็ม ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในเมนูอาหารเสิร์ฟในงานเลี้ยงกาลาร์ดินเนอร์ เอเปค 2022 จากฝีมือการรังสรรค์ของ “เชฟชุมพล แจ้งไพร” เชฟอาหารไทยชื่อดัง
วันก่อน“รัชดา ธนาดิเรก”รองโฆษกรัฐบาล บอกว่า “ปลากุเลาจากตากใบ” ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในเมนูอาหารที่จะเสิร์ฟในงานเลี้ยงกาลาร์ดินเนอร์ แก่ผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค 2022 ในวันที่ 17 พ.ย. ที่หอประชุมกองทัพเรือ โดยมี "เชฟชุมพล" เป็นผู้รับผิดชอบ ถือเป็นโอกาสในการโปรโมตของดีจังหวัดชายแดนใต้ เป็นสินค้าท้องถิ่นขึ้นชื่อของ จ.นราธิวาส ให้โด่งดังเพราะ “ปลากุเลาเค็มตากใบ” เป็นปลาสายพันธุ์ท้องถิ่นของจ.นราธิวาส ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา คนทั่วไปขนานนามว่า “ราชาแห่งปลาเค็ม” เนื่องจากมีรสสัมผัสกลมกล่อม เนื้อฟู มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ส่งผลให้ปลากุเลาเค็มตากใบมีราคาสูงถึงกก.ละ1,300-1,500 บาท เป็นของฝากยอดนิยมที่ผู้คนมักซื้อไปฝากกัน
เรียกว่างานนี้กะใช้ ปลากุเลาตากใบ เป็น Soft Power ที่จะสร้างชื่อ สร้างความจดจำ แก่ผู้นำต่างชาติได้นำไปเผยแพร่ เล่าขาน
แต่ก็มีเรื่องดราม่าเกิดขึ้นจนได้ เมื่อทางกลุ่มผู้ประกอบการปลากุเลาเค็มตากใบ ออกมาโวยว่า ปลากุเลาเค็มที่รัฐบาลพูดถึง “ไม่ใช่ปลากุเลาเค็มจากตากใบแท้ๆ” แต่เป็นปลาจากที่อื่น เพราะเมื่อมีข่าวนี้ ก็ได้มีการพูดคุยกับคนที่ทำปลาเค็มด้วยกัน พบว่าไม่เจ้าไหนถูกสั่งไปขึ้นโต๊ะเลย ถ้ามีก็ต้องรู้ เพราะเจ้าดังๆ ที่ตากใบ มีใครบ้าง รู้จักกันหมด แต่ถามไปแล้วไม่มีใครได้รับออร์เดอร์ เลย
คนทำปลากุเลาเค็มตากใบ บอกว่า ไม่ได้ติดใจว่าจะเอาปลากุเลาที่ไหนมาเสิร์ฟ ถ้าเอามาจากที่ไหนก็ขอให้บอกตรงๆ เพราะรสชาติมันต่างกัน คนกินจะเข้าใจผิด
ถามไปยังชาวบ้านกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโอรังปันตัย จ.ปัตตานี ที่ถูกเอาภาพไปใช้ประกอบการแถลงข่าว ก็บอกว่าไม่มีการสั่งปลากุเลาเค็มจากกลุ่มของพวกตนด้วยเช่นกัน จึงเกรงว่าจะเกิดการเข้าใจผิดได้
ขณะ ที่ “อนุชา บูรพชัยศรี” โฆษกรัฐบาลได้ออกมาแถลงถึง เมนูในงานเลี้ยง Gala Dinner ดังกล่าว ที่นำเอาวัตถุดิบจากทุกภูมิภาคมารังสรรค์เป็นอาหารคาว หวาน ว่ามีอะไรบ้าง เริ่มจาก Amuse-Bouche (ของว่าง) กระทงทองไส้ครีมซอส และไข่ปลาสเตอร์เจียนโครงการหลวงดอยอินทนนท์
Appetizers (อาหารเรียกน้ำย่อย) Welcome to Thailand ซึ่งนำเสนอของดี 4 ภาค ได้แก่ “แอ่วเหนือ” ข้าวซอยหมี่กรอบไทยล้านนา... “เที่ยวกลาง” ต้มยำทอดมันกุ้งแม่น้ำกรุงศรีอยุธยา... “ยามอีสาน” โคราชวากิว ย่างถ่านสมุนไพรจิ้มแจ่ว... “ล่องใต้” ไก่เบตงย่างกอและ
Salad (สลัด) ยำใหญ่ผักออร์แกนิก 9 อย่าง จากวิสาหกิจชุมชนทั่วทุกภาคของเมืองไทย กับไก่ออร์แกนิก และกุ้งมังกร 7 สีภูเก็ต พร้อมไข่เป็ดไล่ทุ่งสุพรรณบุรีดองดอกเกลือเพชรบุรี
MAINCOURSE (อาหารจานหลัก) สำรับอาหารไทยแห่งความยั่งยืน แกงมัสมั่นชาววังเนื้อน่องโคขุนจากสหกรณ์โพนยางคำสกลนคร และผักไทยรวมราตาตูย ปลาเก๋ามุกออร์แกนิก จากทะเลภูเก็ต พร้อมซอสต้มข่าเห็ดรวมโฟมใบมะกรูด ข้าวหอมมะลิไทยจากทุ่งกุลาร้องไห้ และข้าวกล้อง 9 ชนิด อบตะไคร้หอม
Dessert (ของหวาน) ขนมหม้อแกงเผือกภูเขา และเม็ดบัวซอสผลไม้ไทย เสิร์ฟพร้อมกับซอร์เบท์เสาวรส น้ำผึ้งดอกลำไย และ ขนม 5 อย่าง (ดาราทอง, ช็อคโกแลตไทยเชียงใหม่ไส้บรั่นดีไทยกระชายดำ, ขนมมะลิไส้มะพร้าว,มาการองลิ้นจี่, ขนมเปียกปูนใบเตย ) และผลไม้ไทย เสริฟ์คู่กับชาเฟลอ ดู นอร์ท จากเมืองเหนือ หรือยอดกาแฟเมืองน่าน
ตรวจสอบ ไล่เรียงดูจนครบ ตั้งแต่ของว่าง อาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก ยันของหวาน ก็ไม่เห็นมีชื่อปลากุเลาเค็มตากใบ ปรากฏอยู่เลย ยิ่งตอกย้ำความดราม่าเข้าไปใหญ่
จนกระทั่ง “เชฟชุมพล” ได้ออกมายืนยันว่า ใช้ปลากุเลาตากใบจริงๆ เพราะได้สั่งจากร้าน “ปลากุเลาเค็มตากใบป้าอ้วน” ซึ่งเป็นสินค้าโอทอป 5 ดาว ผู้ประกอบการกลุ่มอื่นอาจไม่ได้ทราบในข้อมูลตรงนี้ จึงเกิดความเข้าใจผิด โดยจะใช้ปลากุเลาเป็นส่วนประกอบในเซตอาหารจานหลักเพื่อเพิ่มความโดดเด่นในเรื่องของกลิ่นในซอสราดมัสมั่นเนื้อน่องโคขุนจากสหกรณ์โพนยางคำ จ.สกลนคร และข้าวกล้อง 9 ชนิดอบตะไคร้หอม
ขณะที่ เฟซบุ๊ก "ปลากุเลาเค็มป้าอ้วนตากใบ" ก็ได้โพสต์ข้อความว่า จากกรณีดรามาในโลกออนไลน์เรื่องปลากุเลาปลอม ยืนยันว่ามาจากร้านของตน เพราะเป็นร้านจำหน่ายปลากุเลาเค็มเพียงรายเดียวในอำเภอตากใบที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดด้านคุณภาพที่เหมาะสมกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนที่น่าเชื่อถือ (มผช.) ในระดับ 5 ดาว
ก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่ได้มาซื้อปลากุเลาเค็มไปจำนวน 1 ตัวเพื่อนำไปชิม กระทั่งมีการสั่งซื้อผ่านออนไลน์ แต่เนื่องจากมีการซื้อวันละหลายหมื่นบาทในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาหลังจากมีกระแสข่าวเอเปก ทำให้ร้านไม่ได้ทันได้ตรวจสอบ ซึ่งยืนยันว่าหน่วยงานภาครัฐ โดยตัวแทนได้สั่งผ่านระบบออนไลน์ไป จึงเกิดข้อผิดพลาดกันในกลุ่มผู้ค้าปลากุเลาเค็มตากใบ
เมื่อทางร้านและตัวเชฟเองได้ออกมาชี้แจง เรื่องราวดราม่าปลากุเลาก็จบลงด้วยประการฉะนี้