“สมคิด” หวังสร้างกระแสสึนามิกวาดล้างสิ่งโสมมในภาคใต้ ชี้ ศักยภาพสูงแต่ขนาด ศก.กลับเล็ก เชื่อ ปชป.คิดผิดที่ปล่อย “นิพิฏฐ์” ออกมา ชวนเลือก สอท.เปลี่ยนแปลงบ้านเมือง บอกถ้าชื่อพรรคจำยาก ให้เรียก “พรรคสมคิด”
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 65 ที่ จ.พัทลุง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวปราศรัยในเวทีเปิดตัวว่าที่ผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส.พัทลุงของพรรคสร้างอนาคตไทยว่า วันนี้เปิดตัวผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. พัทลุง ทั้ง 3 คน เป็นคนรุ่นใหม่ แต่ละคนการศึกษาดี ต้องการอุทิศตนให้พี่น้องพัทลุง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้มองแค่พัทลุง ตั้งใจว่า ถ้ามีเวลาจะลงไปทุกจังหวัดในภาคใต้ เพื่อสร้างกระแสสึนามิกวาดล้างสิ่งโสมมทั้งหมด เพราะหากดูภาคใต้ทั้งด้ามขวาน มีสิ่งแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยง ภาคเกษตร ที่เพาะปลูกได้ทุกชนิด มีภาคอุตสาหกรรมที่แปรรูปให้มีมูลค่าเพิ่มได้ ตนตั้งคำถามในใจว่าทำไมหลายสิบปีที่มีการเลือกตั้งเศรษฐกิจภาคใต้ถึงยังเล็กอยู่ รวมถึงหดตัวลงเสียด้วยซ้ำ กระจุกตัวกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แค่ใน 4 จังหวัด คือ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ภูเก็ต และสงขลา
นายสมคิด กล่าวว่า ทีมงานที่ตนจะใช้ทำงาน ไม่ได้มีแค่นี้ และตนไม่ใช่เทวดามาจากไหน แต่ตนเป็นคนใจเปิด มากคน มากวาสนา ช่วยกันบริหารประเทศ เอาคนโกงออกไป เอาคนดีเข้ามา ประเทศจะได้เจริญ และพรรคไหนที่ไล่คนทำงานออก ไม่เก็บคนดีไว้ ถ้ามาพัทลุง มาภาคใต้ ไม่ต้องให้เกิด พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจผิดแล้วที่ปล่อยให้ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีต ส.ส.พัทลุง ออกมาจากพรรค ตนได้ยินว่า นายนิพิฏฐ์ บอกว่า ครั้งนี้เป็นสงครามครั้งสุดท้าย แต่สงครามที่เกิด ท่านไม่เป็นศพแน่ แต่ท่านจะได้กลับมา และไม่ได้มาคนเดียวเท่านั้น แต่มาเป็นแผง
นายสมคิด กล่าวด้วยว่า ภาคใต้ถ้าเลือกแต่คนเดิมๆ ไม่เปลี่ยนความคิด ไปต่อไม่ได้ ซึ่งตนไม่ได้ว่าใคร และคราวที่แล้ว ตนพูดนิดเดียว กลับออกมาว่า นายสมคิด นักการตลาดลวงโลก ผมถามถ้าใจเล็กแค่นี้ จะไปบริหารประเทศได้อย่างไร ถ้าต้องการเปลี่ยนประเทศไทย สิ่งแรกคือต้องเปลี่ยนการเมืองให้ได้ และต้องการให้พรรคสร้างอนาคตไทยเป็นพรรคการเมืองที่ดี เปลี่ยนแปลงเพื่อบ้านเมือง
“หากพรรคนี้เรียกชื่อยากให้เรียกว่า พรรคสมคิด ผมมีชื่อจีนว่า ฮั่นกวง หมายถึงแสงสว่างอันสดใส ขณะที่ สมคิด แปลว่า เกิดมาคิดทั้งวัน แต่เป็นการคิดเพื่อบ้านเมือง และประเทศชาติส่วนรวม” นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวต่อว่า เราพร้อมเปลี่ยนวิธีบริหารจัดการของกระทรวงมหาดไทย ทั้งเรื่องงบประมาณ และการกระจายอำนาจ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้วัดที่นโยบาย เพราะขณะนี้เกิดความยากลำบาก ไม่มีเวลาหัดขับรถ คนจะตัดสินใจกันด้วยใครทำเป็น และใครทำไม่เป็น และประชาชนเชื่อว่าใครทำได้ ใครทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พรรคสร้างอนาคตไทยทำมาแล้ว และเห็นปัญหาทุกจุดไม่ต้องมาฝึกงานหากเป็นรัฐบาลทำงานได้เลย
นายสมคิด กล่าวว่า ตนไม่ได้คิดว่าใครเป็นคู่แข่ง นโยบายของตนเอาไปใช้ได้ ตนเคยคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจน เพราะเขามีทีมแก้จน ดังนั้น ตั้งทีมเลยและเอาเงินจากกองทุนสร้างอนาคตไทยไปทำ แต่ไม่เคยเอาจริงเอาจัง ผักชีโรยหน้าทั้งประเทศ ปัญหาความยากจนเป็นรากเหง้าของทุกปัญหา ซึ่งมี 3 เรื่องเป็นมะเร็งร้ายของประเทศ คือความยากจน ยาเสพติด และคอร์รัปชัน
“ยาเสพติดมาคู่กับความยากจน กระจายไปทั่วประเทศ ยาบ้าเหลือเม็ดละ 7 บาทชาวบ้านยังรู้ แล้วทางการไม่รู้หรือ คนจนตกงานไม่มีทางเลือก และมาพร้อมกับคอรัปชั่นเงินมหาศาลสามารถเลื้อยเข้าทุกองค์กร จับไม่ได้ ได้แต่ย้าย ดังนั้นพอมีโศกนาฏกรรม ก็บอกจะประกาศสงคราม ขอบอกว่าสมัยอยู่ไทยรักไทยประกาศมา 3 สงครามแล้ว แต่ผลออกมาคือเราแพ้สงคราม” นายสมคิด กล่าว
ดร.สมคิด กล่าวว่า วันนี้การเมืองซื้อกันเป็นว่าเล่น ถ้าเขาแจกเงิน รับไปกินกาแฟ ได้เดือนนึง ได้ 500-1,000 บาท แต่ถามว่าแก้จนไหม หรือหากมีผู้นำที่ดีสามารถทำจีดีพี 20 ล้านล้านบาททำได้เลย หากเขาให้เงินเรารับไว้ เวลาโหวตนั่นคืออาวุธของเรา โหวตคือการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย พิสูจน์ให้เห็นว่า คนใต้เงินซื้อไม่ได้ คนใต้พลาดแล้วต้องรู้จักจำ รู้จักเปลี่ยนแปลง
นายสมคิด ยังได้กล่าวถึงกรรมีส่วนร่วมในการแก้ไขวิกฤตของประเทศในอดีตที่ผ่านมาด้วยว่า ครั้งแรกวิกฤตต้มยำกุ้ง จากการเป็นอาจารย์ ตนก็ยินดีที่จะเสียสละหวังทำการเมืองให้ดี และประเทศชาติเจริญ ครั้งที่ 2 ได้รับเชิญมาแก้วิกฤตเศรษฐกิจจากการรัฐประหาร ตนเป็นคนนำจดหมายของผู้นำไปยื่นต่อประเทศจีน เพื่อให้เขายืนยันว่าเขาจะสนับสนุนประเทศไทย เพราะไม่เคยมีชาติไหนช่วยเรา
“ผมคิดไม่ผิดที่กลับมาสู่การเมืองครั้งนี้ ซึ่งแปลกมาก ถ้าบ้านเมืองไม่มีวิกฤต ผมไม่เคยได้กลับมา แต่เมื่อใดก็ตามที่มีวิกฤตเกิดขึ้นมักจะมีชื่อสมคิดกลับมาเสมอ” นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด ยังได้เล่าถึงเมื่อครั้งลาออกจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อปี 2563 ด้วยว่า วันนั้นตนอยู่ที่ จ.ชุมพร ได้รับข้อความจากคนที่ยศสูงกว่าตน บอกว่า ผมมีความลำบากใจมากสุดในชีวิต เพราะจำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อได้อ่านข้อความ ตนโทร.กลับไปทันทีบอกว้า ท่านครับ ไม่ต้องลำบากใจ พวกผมมีหน้าที่ ทำให้รัฐบาลอยู่ได้ แล้วก็คุยกับ นายอุตตม สาวนายน หังหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งเป็น รมว.คลัง ในตอนนั้นว่า วันรุ่งขึ้นให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยลาออกทั้ง 4 คน (นายสมคิด รองนายกฯ, นายอุตตม รมว.คลัง, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน, นายสุวิทย์ เมษิณทรีย์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมไปถึง นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง)
“ถ้าคนทำงาน ไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ไม่ให้เขาอยู่ มันสมองอย่างนั้นจะไปหาที่ไหน ไม่เห็นค่าถึงเวลามาบอกเปลี่ยนรัฐมนตรี เพราะเขาจะเอาบ้าง แล้วบ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร” นานสมคิด กล่าว