"มงคลกิตติ์" แจมทุกเรื่องโชว์ภูมิแก้น้ำท่วมกทม. เสนอรบ.-กทม. ประสานทร.หนุนเรือผลักดันน้ำแก้ปัญหาระยะสั้น ระยะยาวแนะสร้างคันกั้นน้ำเพิ่ม–หาพื้นที่เก็บน้ำฝน ย้ายเมืองหลวงก่อนกทม.ทรุดจมบาดาลในอีก 30-40 ปี
วันนี้ (14ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แถลงกรณีที่มีฝนตกหนักจนน้ำท่วมกทม.ว่า ขณะนี้กทม.มีปริมาณน้ำส่วนเกินประมาณ 30 กว่าล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณน้ำส่วนเกินจากคลองหลัก 5 คลอง และคลองย่อยต่างๆ ซึ่งเป็นน้ำฝนล้วนๆ โดยไม่มีน้ำเหนือ ทั้งนี้จากการลงพื้นที่ตนได้รับทราบเรื่องการบริหารจัดการน้ำของกทม. ที่ตอนนี้มีเครื่องสูบน้ำออกได้ประมาณ 800 ลูกบาศก์เมตรตต่อวินาที ทำให้เราต้องมีเครื่องสูบน้ำที่มีประสิทธิภาพถึง 100 เครื่อง และต้องใช้เวลา 6 วันกว่าจะสูบน้ำหมด เพื่อผันน้ำออกสู่ทะเลได้ แต่ปัจจุบันนี้ต่อให้มีเครื่องสูบน้ำ 100 เครื่องก็ไม่เพียงพอ เพราะสัปดาห์นี้จะมีฝนตกหนักชุกอีก ดังนั้นวิธีการแก้ไขระยะสั้นนั้น ตนไม่แน่ใจว่ากทม.มีวงเงิน 500 ล้านบาทหรือไม่ในการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้วจำนวน 1,000 เครื่อง เพื่อสูบน้ำทั้งหมดออกภายใน 1วัน
ดังนั้นวิธีการแก้ไขคือให้กทม. ทำหนังสือไปที่กองทัพเรือเพื่อขอเรือผลักดันน้ำ เพื่อให้น้ำไปถึงปลายทาง สูบออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ ซึ่งต้องมีทั้งเรือผลัดดันน้ำ และเครื่องสูบน้ำด้วย เพราะฝนตกต่อเนื่องหลายวัน น้ำปริมาณจะตันอยู่ในกทม. โดยเฉพาะเขตลาดกระบังและเขตบางเขน ที่เป็นพื้นที่ต่ำ ทำให้น้ำท่วมนาน และพื้นที่กทม.ทรุดต่ำลงปีละ 3 ซม. โอกาสที่รันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิจะถูกน้ำท่วมได้มีสูงมาก แม้ระบบป้องกันจะดี เพราะปกติพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ไม่สมควรตั้งสนามบิน และจุดนั้นควรเป็นแหล่งเก็บน้ำ เพื่อพักน้ำก่อนผันออกสู่ทะเล ไม่รู้รัฐบาลชุดไหนกลับมาสร้างสนามบินในพื้นที่หนอง ตนเชื่อว่าไม่เกิน40 ปี พื้นที่กทม.จะต่ำลงอีก 1.20 เมตร หากเราจะแก้ไขปัญหาระยะยาวก็ต้องสร้างคันกั้นน้ำเพิ่ม และต้องหาพื้นที่เก็บน้ำฝนกรณีฝนตกนานๆ ที่ปัจจุบันไม่มีเลย เพื่อเป็นที่พักน้ำใช้ยามฝนแล้ง และเก็บน้ำยามฝนตกชุก ดังนั้นกทม.และรัฐบาลต้องคิดแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกทม.ในระยะยาว เพราะปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หากเราจะไม่อยู่กทม.ต่อแล้วก็ต้องย้ายเมืองหลวงแต่ต้องคิดว่าจะย้ายไปที่ไหนในอีก 30-40 ปีข้างหน้า