ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ฝันสุดท้ายของ “จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี” อยากเห็นลูกสาว “ตั๊น-จิตภัสร์” เป็นรัฐมนตรี
นับเป็นความสูญเสียของตระกูล “ภิรมย์ภักดี” อีกครั้ง เมื่อ “นิดหน่อย” จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย เสียชีวิตลงอย่างสงบ หลังจากก่อนหน้านี้ ได้เดินทางไปรักษาอาการป่วยด้วยโรคร้าย ที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยมี “คุณหญิงต้น" ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี” ภรรยาดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมกับลูกๆ แวะเวียนกันไปเยี่ยมเยียน และดูแลอาการอย่างใกล้ชิด
“จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี” ถือเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของบุญรอด เป็นบุตรคนโตของ “จำนงค์ และคุณหญิงสุภัจฉรี ภิรมย์ภักดี” สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี ด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบอสตัน
คนที่สนิทสนมกับ “นิดหน่อย” จะทราบว่า จุตินันท์นั้นเป็นแฟมิลี่แมน รักภรรยาอย่าง “คุณหญิงต้น” ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี มาก รวมถึงเป็นคุณพ่อที่น่ารักของลูกๆ ทั้ง 3 คน “ตั๊น” จิตภัสร์ กฤดากร, “ตุ๊ย” นันทญา ภิรมย์ภักดี และ “ต่อย” ณัยณพ ภิรมย์ภักดี
ในฐานะพ่อ “จุตินันท์” พร้อมสนับสนุนและคอยให้กำลังใจลูกๆ เสมอ โดยเฉพาะ เมื่อลูกสาว “ตั๊น-จิตภัสร์” เลือกที่จะทำงานการเมือง คุณพ่อจุตินันท์ ก็เชียร์สุดตัว ดังตอนที่ลูกสาวได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์ สมใจ “จุตินันท์” ได้โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว ชื่อ “chutinant” ร่วมยินดีต่อลูกสาว ว่า "พ่อขอแสดงความยินดีกับลูก ที่ได้เป็นส.ส.ตามความตั้งใจของลูก พ่อรู้ว่า “ตั๊น” ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย และได้ทุ่มเทกายใจช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติมาตลอด นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หวังว่า ตั๊นจะประสบความสำเร็จและดำรงตนโดยยึดมั่นในคุณธรรม และสัจธรรม ช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติต่อไป”
ว่ากันว่า ช่วงที่รักษาตัวด้วยอาการเจ็บป่วยอยู่ที่อเมริกา “จุตินันท์” เปรยกับคนใกล้ชิดว่า ฝันสุดท้ายของเขาอยากเห็นลูกสาว “ตั๊น-จิตภัสร์” ที่เป็นนักการเมืองขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรี ซึ่งแว่วว่าตามความเคลื่อนไหวภายในพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมขยับสนับสนุน ปรับโควตารัฐมนตรีของพรรคในรัฐบาล และหากวัดด้วยชื่อ และตำแหน่ง ที่เป็นรองเลขาฯ พรรค “ตั๊น-จิตภัสร์” ก็ไม่เป็นรองใคร ติดอยู่ตรงเป็นช่วงจังหวะที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพักงาน และ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งรักษาการแทน ทั้งสองคนยืนยันจะไม่ปรับ ครม. กระทั่ง “จุตินันท์” จากไปด้วยความอาลัย ฝันสุดท้ายของผู้เป็นพ่อ จึงยังไม่เป็นจริง โดยที่ “ตั๊น-จิตภัสร์” คงต้องรอโอกาสของตัวเองต่อไป
อย่างไรก็ดี สุดท้ายนี้ “ข่าวปนคน คนปนข่าว” ขอแสดงความเสียใจ อาลัยต่อการจากไปของ “จุตินันท์” กับ ครอบครัว "ภิรมย์ภักดี" มา ณ ที่นี้ด้วย
**แกนนำพลังประชารัฐตั้งกำแพงต้าน “ธรรมนัส” หวนกลับพรรค มีการถกเถียง คาดการณ์ ของบรรดานักกฎหมายว่า เรื่องวาระนายกฯ 8 ปีของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมมนูญ สุดท้ายแล้วน่าจะออกมาว่า หมดวาระแล้ว หรือหากยังไม่ครบวาระ ก็น่าจะเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี
ขณะเดียวกัน ก็มีกระแสข่าวที่พูดกันมากถึงเรื่องที่ “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย จะพา ส.ส.ที่ร่วมแตกทัพ หวนกลับพลังประชารัฐตามเดิม โดยเฉพาะถ้า “บิ๊กตู่” ซึ่งถือว่าเป็น “ศัตรู” ทางการเมืองของ “ผู้กอง” ไม่ได้ไปต่อ
สำหรับบรรดา ส.ส.ลูกพรรคนั้น แน่นอนว่า อยากกลับไปอยู่บ้านใหญ่หลังเดิมอยู่แล้ว... เพราะต้องไม่ลืมว่าการมีสถานะเป็น ส.ส.นั้น สำคัญที่สุดสำหรับนักการเมือง นักเลือกตั้ง ถ้าสอบตกเมื่อไรก็หมดค่า
การที่ต้องมาสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย เพื่อลงเลือกตั้งตามกติกาใหม่ ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นสูตรหาร 100 ซึ่งไม่เป็นคุณกับพรรคเล็ก และยิ่งมี “ผู้กอง” เป็นหัวหน้าพรรค นำทัพลงสู้ศึกจึงเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมาก
บทเรียนจากการเลือกตั้งซ่อมเขต 4 จ.ลำปาง ที่ผ่านมา คือ ของจริง... ครั้งนั้นพรรคเศรษฐกิจไทย ส่ง “วัฒนา สิทธิวัง” ส.ส.คนเก่าลงสมัครโดย “ธรรมนัส” หวังโชว์พาวว่า ต้องได้ ส.ส.ใหม่คนแรกของพรรค แต่ปรากฏว่า ถูก “เดชทวี ศรีวิชัย” ผู้สมัครโนเนม เด็กของ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” พรรคเสรีรวมไทย เฆี่ยนยับ ชนะไปแบบขาดลอย ทิ้งห่างกว่า 25,000 คะแนน
นั่นสะท้อนว่า เมื่ออำนาจหมด บารมีก็หดหายไม่มีเหลือ ยิ่ง “ธรรมนัส” มีภาพที่เป็น “ศัตรู” ของ “บิ๊กตู่” ด้วยแล้ว ประชาชนยิ่งไม่เอาด้วย!!
บรรดา ส.ส.ที่ไม่ใช่คนในสาย “ธรรมนัส” แท้ๆ ที่หลวมตัว เผลอใจตามออกมา จึงดิ้นรน “หนีตาย” ร่ำร้องกลับพลังประชารัฐพรรคเก่า เพราะรู้ว่าเสี่ยงมากๆ ที่จะลงสนามในสีเสื้อพรรคเศรษฐกิจไทย
“สันติ พร้อมพัฒน์” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นคนใกล้ชิด “บิ๊กตู่” และเป็นคนที่เตือนนายกฯว่ากำลังจะถูกหักหลัง บอกว่าความจริงแล้ว ส.ส.เศรษฐกิจไทย ก็เป็น ส.ส.ของพรรคเราที่ออกไปในตอนนั้น และวันนี้หาก ส.ส.เหล่านั้นเห็นว่าพรรคเราเป็นพรรคที่ดี มีพลังในการช่วยเหลือประชาชน อยากจะกลับมาก็คงไม่มีปัญหาอะไร ที่พูดนี่เฉพาะในส่วนของ ส.ส.เท่านั้นนะ ... แต่ถ้า “ร.อ.ธรรมนัส” จะกลับมาด้วย อันนี้ต้องดูระเบียบพรรค และมติของกรรมการบริหารพรรคที่จะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ที่ผ่านมา พรรคยังไม่มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้ โดยส่วนตัวก็ยังไม่ได้พูดคุยกัน และตนเองไม่เคยคิดจะย้ายพรรค ต่อให้ “ร.อ.ธรรมนัส” กลับเข้ามา ตนเองก็ไม่ย้าย
หรืออย่าง “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ พูดถึงเรื่องที่ “ธรรมนัส” และ ส.ส.เศรษฐกิจไทย จะกลับพรรคว่า ไม่กล้าพูด เพราะไม่มีข้อมูล ... แต่ผมว่ามันคงยากละมั้ง!!
ส่วน “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บอกว่า ก็เป็นพวกเดียวกัน เมื่อก่อนก็อยู่ด้วยกัน คุ้นเคยกันอยู่แล้ว และเป็นเรื่องปกติที่นักการเมืองจะย้ายพรรค แต่มันอาจจะยังไม่ถึงเวลา คิดว่าเป็นเรื่องที่พรรคเศรษฐกิจไทยจะต้องตัดสินใจ ไม่เกี่ยวกับพลังประชารัฐ และไม่ทราบว่าถ้าย้ายมาแล้วจะเกิดผลดีหรือไม่ ต้องถามประชาชน...
ฟังน้ำเสียง ถ้อยทำนองจากระดับแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ก็ก็พอจะตีความได้ว่า พวกเขารู้สึกอย่างไรกับ “ธรรมนัส”!!
นี่ยังไม่ได้นับรวมถึง “กลุ่มสามมิตร” ในสายของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม-สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม-อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าถ้าบอกว่า “ยินดีต้อนรับ” แสดงว่า ปากไม่ตรงกับใจ
ด้าน “ธรรมนัส” ที่ผ่านมาค่อนข้างเก็บตัวเงียบ แต่เมื่อตกอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์ จึงได้ออกมาปรากฏตัวทางเฟซบุ๊ก ว่า อังคารนี้มีการประชุม ครม. ตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือมีเหล่าเสนาบดีหลายท่าน ต่างก็ให้สัมภาษณ์ ถึงประเด็นทิศทางการเมืองของผม
ส่วนตัวผมแล้ว ในช่วงนี้เราไม่ควรให้ความสำคัญกับการย้ายสังกัดของนักการเมือง เพราะเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่พี่น้องประชาชนกำลังหวาดผวากับอุทกภัย ทั้งน้ำเหนือ และน้ำจากฟ้า กำลังถล่มลงมาในหลายจังหวัด พี่น้องประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ผมว่าเราเอาเวลาไปคิดเรื่องการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนดีกว่าไหมครับ การเมืองต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้งครับ
... จากที่เคยเป็นรัฐมนตรี เปี่ยมล้นด้วยอำนาจบารมี มีแสงในตัวเอง เป็นมือเป็นไม้ของ “บิ๊กป้อม” แม้ช่วงออกไปตั้งพรรคใหม่ ก็มีการคาดหมายว่าจะเป็นพรรคที่เติบโต มีอนาคต สร้างภาพให้เห็นว่า สามารถ “ต่อสาย” ได้ทั้งกับขั้วอำนาจปัจจุบัน และขั้วตรงข้าม เพราะเคยเป็นลูกน้องเก่าของ “ทักษิณ ชินวัตร” มาก่อน แต่มาถึงวันนี้ “ธรรมนัส” วูบลงเร็วกว่าที่คาด ทำให้ ส.ส.ที่ติดสอยห้อยตามมา ร้องขอกลับพรรคเก่า
ในทางการเมืองนั้นมีคำพูดว่า ถ้าเป็น “นกรู้” พออยู่กันได้ แต่ถ้าเป็น “นกสองหัว” อย่าไปคบ!!