ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“เฮียกวง” : คัมแบ็กไม่ใช่หวังแค่เป็นนายกฯ ให้คิดเสียใหม่ รู้จักคนชื่อ “สมคิด” น้อยไป
“คนอย่างผม ไม่มีใจบันดาลแรง แต่มีแรงบันดาลใจ ที่จะช่วยเหลือ สร้างอนาคตให้ประเทศไทย”
เปิดตัวมาพร้อมพลัง ดูเหมือนกระชุ่มกระชวยกว่าสมัยที่เป็นรองนายกฯ สำหรับ เฮียกวง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ที่เมื่อวันก่อน พรรคสร้างอนาคตไทย ที่นำโดยศิษย์ก้นกุฏิ “สองกุมาร” คือ “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรค “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาฯ และสมาชิกพรรคเสนอให้เป็นประธานพรรค
ต่อเนื่องกัน เมื่อวาน (8 ก.ย.) พรรคสร้างอนาคตไทย จัดกิจกรรม “#คิดสร้างอนาคตไทย” ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถ.วิภาวดีรังสิต กทม.
งานนี้ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” มาพร้อมลูกชายคนเล็ก “น้องคลัง” อายุ 20 ปี ที่เรียนคณะวิศวะ โดยสมคิด บอกว่า พามาเพื่อให้เป็นประจักษ์พยานได้เห็นได้รู้ว่าการสร้างพรรคการเมืองที่ดี มีจริง ต้องการให้เขาเรียนรู้ว่า การทำพรรคการเมืองไม่ใช่ของง่าย ต้องการให้เขาเข้าใจว่า ทำไมพ่อของเขาต้องกลับมาช่วยเหลือน้องๆ ทุกอย่างเป็นภารกิจหน้าที่ ตำแหน่งนายกฯไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมาย คือ การเป็นผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย
“เพื่อให้นิวเจนได้รู้ว่า การเมืองดีก็มี การกลับมาไม่ใช่หวังแค่เป็นนายกฯ ให้คิดเสียใหม่ รู้จักคนชื่อ “สมคิด” น้อยไป”
อดีตรองนายกฯ อธิบายถึงการกลับมาลุยการเมือง ว่า มาด้วย 2 วัตถุประสงค์
หนึ่งนั้น ให้กำลังใจพรรคสร้างอนาคตไทย มาเพื่อขอบคุณที่เป็นที่พึ่ง วางอนาคต วางเศรษฐกิจให้คนรุ่นหลาน ขอบคุณที่เด็ดเดี่ยวที่กล้าประกาศตนเป็น “พรรคทางสายกลาง” ไม่คิดสุดโต่ง สุดขั้ว ไม่แบ่งฝ่าย ไม่แบ่งสี เพราะจะทำลายอนาคตของตัวเองได้ พรรคต้องเป็นตัวกลาง ยึดโยงให้คนในชาติมาร่วมพลัง คิดในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เพราะ สถานการณ์การเมืองเละเทะ เงินตรามีบทบาทสูงมาก การแข่งขันทางการเมืองเหมือนการแข่งม้า มีม้าแข่งที่ต้องซื้อ มีคอกที่ต้องมีเจ้าของหาเงินเลี้ยงม้า มันโจ่งครึ่มเกินไป...
“ผมมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ แต่มาเพื่อให้พรรคนี้เป็นตัวสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทย ในทางที่ถูกต้อง” สมคิด ประกาศจุดยืน โดยให้ความเห็นว่า ขณะนี้การเมืองเรามีนายกรัฐมนตรี แต่คนไหนตัวจริงยังไม่รู้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำไง ใครนำเรือลำนี้ หรือจะให้ข้าราชการนำ สิบกว่าปีให้หลัง ทำไม่ได้ ทำมากผิดมาก ไม่ทำเลยไม่ผิด เพราะงั้นคนดีนิ่งเสียตำลึงทอง ต้องอยู่ที่ผู้นำ ทุบโต๊ะเลย ไม่ช่วย ก็ยุบสภา เก็บไว้ทำไม
สอง ที่เข้ามาเพราะ อยากให้พรรคนี้พยายามเข้าไปกอบกู้ และสร้างอนาคตของประเทศไทย
ยกตัวอย่างเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ ต้นตอเงินเฟ้อ คือ ราคาพลังงาน คนใน ปตท. รู้ดีว่า กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ ในอดีตได้กำไรไปเป็นแสนล้าน ทำไมคุณไม่ปรับค่าการตลาด เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ถ้าคิดเป็นต้องเอากำไรสะสมในอดีตมาช่วยให้คนสบายขึ้น น้ำมันขึ้นทุกอย่างแพงหมด กระทรวงการคลังทำอะไรกันอยู่ ผู้บริหาร ปตท. ทำอะไรอยู่ ?
เรียกว่า เปิดตัวมาก็ไว้ลายมือบริหารเศรษฐกิจทันที บทบาทการเป็นประธานพรรค “สมคิด” ยังเปิดใจย้ำว่า จะสนับสนุนพรรคในทุกบทบาท และทุกรูปแบบ โดยติดตามมานาน อยากช่วยเหลือสนับสนุน เห็นใจน้องๆ ว่า การเมืองไม่ใช่ง่ายๆ คนอย่างผม ไม่มีใจบันดาลแรง แต่มีแรงบันดาลใจ ที่จะช่วยเหลือ สร้างอนาคตให้ประเทศไทย อันนี้เป็นความจริงใจ ยิ่งมาแข่งขันเยอะยิ่งดี ความคิดต่างไม่ใช่ศัตรู ต้องรับฟังได้ มีความเคารพซึ่งกันและกัน
สุดท้ายนั้น การกลับมาตอบรับเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคสร้างอนาคตไทย “สมคิด” ย้ำกับพรรคว่า ผมมาที่นี่ อย่าพูดไปเรื่อยๆ ว่าจะให้ผมเป็นนายกฯ เพราะการเป็นนายกฯ ฟ้าลิขิตครับ
นี่เป็นฉากแรกของการคัมแบ็กของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ก็น่าสนใจแล้ว ซึ่งก็ต้องบอกว่า “คิด...สร้างอนาคตไทย” จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป
** ภูมิใจไทยพูดแล้วทำ “อนุทิน” นำลูกพรรคโหวตปิดสวิตช์ ส.ว.!! ต้องยอมรับว่า การแก้ไข รธน.ฉบับนี้ ทำได้ยากจริงๆ เพราะคนเขียน ระดับ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธุ์ ผู้เป็นประธานคณะกรรมการยกร่าง ได้วางเกณฑ์ไว้ว่า นอกจากจะต้องได้เสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่ง แล้วยังต้องได้เสียงจาก ส.ว.หนึ่งในสาม หรือ 84 เสียง เห็นชอบด้วยถึงจะแก้ได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่ ร่างแก้ไข รธน.มาตรา 272 ที่ให้ตัดอำนาจวุฒิสภา (ส.ว.) ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่ง “สมชัย ศรีสุทธิยากร” และประชาชนเข้าชื่อเสนอ ต้องถูกตีตกไปพร้อมกับ ร่างแก้ไข รธน. อีก 3 ฉบับ ที่พรรคเพื่อไทยเสนอ
ไฮไลต์ที่สังคมจับจ้อง ก็คือ การแก้มาตรา 272 จะทำได้หรือไม่ เพราะพรรคการเมืองหลายพรรคอยากแก้ แต่ ส.ว.จะยอมตัดอำนาจตัวเอง หรือไม่ ขณะเดียวกัน ก็จับจ้องไปที่ ส.ส.ฝั่งรัฐบาลด้วยว่า จะโหวตอย่างไร
ผลโหวตเฉพาะการแก้มาตรา 272 คือ รับหลักการ 356 คน แบ่งเป็น ส.ส. 333 คน ส.ว.23 คน, ลงมติไม่รับหลักการ 253 คน แบ่งเป็น ส.ส.102 คน ส.ว.151 คน, ลงมติงดออกเสียง 53 คน แบ่งเป็นส.ส. 8 คน ส.ว. 45 คน
หากโฟกัสไปที่ ส.ว.จะพบว่า มีโหวตรับหลักการแค่ 23 คน ไม่รับหลักการ 151 คน งดออกเสียง 53 คน และมีรายงานว่า มี ส.ส.โดดร่ม ไม่มาร่วมโหวตอีก 41 คน
ในส่วนของ ส.ส.นั้น ที่ไม่รับหลักการ คือ ยัง “อุ้ม ส.ว.” อยู่ ประกอบด้วย ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลัง และ ส.ส.พรรคเล็ก ซึ่งจำใจโหวต ส่วนที่ลงมติ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” นอกจาก ส.ส.ฝ่ายค้านแล้ว ยังมีพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ ร่วมด้วย
พรรคประชาธิปัตย์นั้น คนไม่แปลกใจเท่าไร เพราะเรียกร้องให้มีการแก้ รธน.มาตั้งแต่ต้น แถมตั้งเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล และช่วงหาเสียงก็ยังประกาศไม่รับการสืบทอดอำนาจเผด็จการ ไม่เอา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯอีกด้วย
ส่วนพรรคภูมิใจไทย ที่โหวตแบบไม่เกรงใจพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคพลังประชารัฐนั้น “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคบอกว่า ที่โหวต “ปิดสวิตช์ ส.ว.” นั้น เป็นการทำตามหลักประชาธิปไตย เป็นจุดยืนของพรรค เราไม่ได้มีเรื่องกับใคร และเราได้พูดมาตลอดตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้งปี 2562 แล้วว่า จะต้องเลือกนายกฯ จากตัวแทนที่มาจากการเลือกของประชาชน แต่เราไม่ได้เป็นผู้ร่าง รธน. เราจึงมีหน้าที่เคารพกฎหมาย แต่เมื่อมีการเสนอแก้ไข รธน. โดยมีวัตถุประสงค์หลักให้ ส.ส.เป็นผู้เลือกนายกฯ จึงถือว่า ถึงเวลาที่เราต้องแสดงความชัดเจนในหลักการประชาธิปไตย
และเป็นการยืนยันจุดยืนว่า “พรรคภูมิใจไทย พูดแล้วต้องทำ” !!
“เสี่ยหนู” ยังบอกว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าคนที่จะเป็นนายกฯ แต่มีเสียง ส.ส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แล้วไปหวังจะเอาเสียง ส.ว.มาโหวตช่วยเพื่อให้ได้เป็นนายกฯนั้น ถือว่านายกฯคนนั้นจะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก ...เพราะเป็นนายกฯ ที่บริหารราชการแผ่นดินไม่ได้
การแสดงออกของพรรคภูมิใจไทยครั้งนี้ บรรดานักวิชาการต่างแสดงความชื่นชมในสปิริตของนักประชาธิปไตยของผู้นำพรรค
อย่างเช่น “ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต บอกว่า พรรคการเมือง ต้องหาเสียงกับประชาชน ไม่ใช่หาเสียงกับผู้มีอำนาจ พรรคภูมิใจไทย ได้ทำให้สังคมเห็นแล้วว่า เขาแคร์ประชาชน ถึงจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เหมือนจะเป็นเด็กดีของผู้มีอำนาจ แต่เมื่อถึงที่สุดแล้วเขาก็เลือกให้อำนาจมาอยู่กับประชาชน วัฒนธรรมของภูมิใจไทย คือ ไม่แสวงหาศัตรู ดูแล้วเหมือนยอมให้กับผู้มีอำนาจ แต่มาถึงจุดหนึ่ง ชัดเจนว่า เขากล้าที่จะยึดหลักการ ทำตามหลักการที่ถูกต้อง ต่างจาก ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่โหวตให้คงอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ เพราะต้องเล่นตามผู้ใหญ่ ทำตามใบสั่ง ทั้งที่ใจกระอักกระอ่วน ก็ตาม...
ว่ากันว่า ผู้ยื่นร่างแก้ไข รธน.ปิดสวิตช์ ส.ว.นั้น ก็รู้ว่าเกมนี้ผ่านยาก แต่อย่างน้อยในจังหวะ เวลาอย่างนี้ ถ้าเป็นการเรียกทัวร์ลงที่รัฐบาลได้ ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว