วันนี้(8 ก.ย.)ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานเสวนา “กสทช. มีอำนาจจัดการควบรวม ทรู-ดีแทคหรือไม่" ที่สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดขึ้นเพื่อระดมแนวคิด และหาทางออกในการคุ้มครองผู้บริโภค จากสถานการณ์การควบรวมกิจการในธุรกิจ ว่าหาก ย้อนไปดูตัวกฎหมายการก่อตั้ง กสทช.สาเหตุที่ต้องให้มีองค์กรอิสระขึ้นมากำกับดูแลทรัพยากรคลื่นความถี่ของชาติก็เพื่อตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งตามข้อ 9 ของประกาศดังกล่าวยังระบุว่า การรายงานตามข้อ 5 ให้ถือเป็นการขออนุญาตจาก กสทช. ตามข้อ 8 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 กสทช. มีอำนาจในการสั่งห้ามการควบรวมนี้ได้ หากเข้าข่ายเป็นการผูกขาด ลดหรือจำกัดการแข่งขัน
สำหรับที่มีการโต้แย้งว่า ที่ผ่านมามีการควบรวมกิจการในประเทศผ่านมาแล้ว 9 ดีลก็ใช้ ประกาศกสทช.ปี 2561 ใช้คำว่า “การรายงานการรวมธุรกิจ”นั่นหมายความว่า เมื่อยึดตามประกาศล่าสุด เท่ากับว่าบริษัทผู้ประกอบการไม่ต้องขออนุญาต ทำแค่เพียงการรายงานให้ทราบเท่านั้น เพราะ กสทช.ไม่ได้มีอำนาจกระทำอันใด
อาจารย์ปริญญา กล่าวว่า ดีลการทรูควบรวมดีแทคไม่สามารถเทียบได้กับดีลที่เคยผ่านมา เพราะมันเข้าข่ายมีอำนาจเหนือตลาด ถือครองคลื่นความถี่ที่เป็นทรัพยากรของชาติ ถือส่วนแบ่งเกินครึ่ง มีอำนาจเหนือตลาดชัดเจนและทำไมถึงใช้ระบบรายงานภายหลังควบรวมไม่ได้ เนื่องจาก 9 ดีลที่ระบุนั้นมี 7 ดีล เป็นการรวมธุรกิจระหว่างผู้รับใบอนุญาตที่เป็นบริษัทในกลุ่มหรือบริษัทในเครือเดียวกัน 1 ดีล เป็นการรวมธุรกิจที่หลังการรวมมีสินทรัพย์ไม่เกินวงเงินที่ประกาศกำหนด 1 ดีล เป็นการควบรวมของรัฐวิสาหกิจ กสท. โทรคมนาคม กับ ทีโอที รวมกันเป็นเอ็นทีตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดังนั้น การควบรวมที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดแล้วทำให้เอกชนมีส่วนแบ่งทางการตลาดเกินกว่า 50% เข้าข่ายเป็นทุนนิยมผูกขาดร้ายแรงยิ่งกว่าเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเสียอีก กสทช. ในฐานะองค์กรของรัฐที่เป็นผู้กำกับดูแล “คลื่นความถี่” รวมถึงการให้บริการโทรคมนาคม จึงมี “หน้าที่”ตามมาตรา 27 (11) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (“พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่”) ในการกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม รวมถึงป้องกัน หรือขจัดการกีดกันหรือการผูกขาด การคุ้มครองผู้บริโภค และขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมตามแนวนโยบายแห่งรัฐที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดอีกด้วย
"กสทช.อาจจะไม่มั่นใจในอำนาจของตัวเองเพราะนี้เป็นดีลใหญ่ก็อาจเกิดขึ้นได้ แต่ที่ผ่านมามีทั้งศาลปกครอง คณะอนุกฎหมายก็ชี้แล้วว่ากสทช.มีอำนาจเรื่องนี้ การทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วไปถามกฤษฎีกาอาจจะเข้าข่ายละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติโดยมิชอบ ม.157 "
ด้าน รศ.ดร. ณรงค์เดช สรุโฆษิต อาจารย์คณะนิติศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ธุรกิจโทรคมนาคมต้องใช้ทุนประกอบกิจการมหาศาล และเกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์ของรัฐและผลประโยชน์ของประชาชนซึ่งหน่วยงานที่กำกับดูแลจำเป็นต้องดูแลให้เกิดประโยชน์สูงสุดเห็นได้ชัดตามที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจน จึงต้องจัดให้มีองค์กรของรัฐที่มีการอิสระประโยชน์สาธารณะกับในการนี้ครับองค์กรดังกล่าวต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคหรือเอาเปรียบผู้บริโภค
ดังนั้น สถานะของ กสทช.ที่เป็นองค์กรอิสระ จัดตั้งขึ้นมาตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบ กิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และได้รับการรับรองความเป็นอิสระโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 60 อีกทั้ง ตามมาตรา 6 รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติของชาติ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนการจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้เพื่อส่งวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม หรือเพื่อประโยชน์อื่นใด ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะ รวมตลอดทั้งการให้ประชาชนมีส่วนได้ใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ด้วย
"การกำกับดูแลธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์ชาติมันต้องเข้มข้นเพราะยิ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและชาติ เขาถึงได้ให้อำนาจเฉพาะมากับ กสทช. ดังนั้น หากถามว่า กสทช.มีอำนาจที่จะพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่ ก็ตอบง่ายๆว่ามีอย่างเต็มเปี่ยม"