ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“จอมยุทธ์กวง” หวนยุทธจักรการเมือง นั่งประธานพรรคสร้างอนาคตไทย ออกหน้าฉากด้วยตัวเอง ชัดเจนว่าไม่ได้มาเล่นๆ เสริมโหวงเฮ้ง “สร้างอนาคตไทย” ดูดีไม่น้อย
อาจจะไม่ถึงขั้นเซอร์ไพรส์ คิวที่ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ตัดสินใจหวนคืนยุทธจักรการเมืองอีกครั้ง โดยสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทย และรับตำแหน่ง “ประธานพรรค”
ด้วยแกนนำ-ผู้บริหารพรรคเองก็ต่าง “โยนหิน-ปูทาง” ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า “จอมยุทธ์กวง” ต้องมาร่วมงานกับพรรคไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ด้วยสภาพของประเทศในปัจจุบัน ปัญหาใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้น “วิกฤตเศรษฐกิจ” ทั้งระดับจุลภาค อย่างปัญหาปากท้อง ข้าวของราคาแพง หรือระดับมหภาค อย่างอัตราเงินเฟ้อ หรือราคาพลังงานที่พุ่งกระฉูดตามกันทั่วทั้งโลก ในฐานะ “มือเศรษฐกิจ” นิ่งนอนใจไม่ได้
ยิ่งผู้ก่อร่างสร้างพรรคงวดนี้มีทั้ง “อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รวมทั้งผู้ร่วมก่อตั้งอีกหลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหาก้นกุฏิของ “อาจารย์กวง” แทบทั้งสิ้น ก็คงทนเสียงรบเร้าให้มาช่วย “คัดท้ายเรือ” ให้ไม่ได้
เป็นหลายปัจจัยที่ทำให้ “สมคิด” ในวัย 69 ปียอมใจอ่อน กลับมาทำงานการเมืองอีกครั้ง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคงไม่พ้นที่งวดนี้ “เฮียกวง” โดดออกมาร่วมยืนแถวหน้า มีตำแหน่งแห่งที่ในพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ ทั้งที่ระยะหลัง เลี่ยงที่จะ “ออกหน้า-ออกตัว” ในทางการเมืองมาโดยตลอด และเลือกที่จะเป็น “กุนซือ” อยู่เบื้องหลังมากกว่า
การออกมายืนหน้าฉากครั้งนี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นของ “สมคิด” ที่มีต่อพรรคสร้างอนาคตไทยไม่น้อย และคล้ายกับประกาศว่า งานนี้ไม่ได้มาเล่นๆ
อีกทั้งการตั้งพรรคการเมืองในนาม “สร้างอนาคตไทย” หนนี้ของ “อุตตม-สนธิรัตน์” แตกต่างจากสมัยเข้าไปรับหน้าเสื่อเป็นผู้บริหาร “พรรคพลังประชารัฐ” อย่างสิ้นเชิง
ด้วยการที่พรรคสร้างอนาคตไทย ตั้งโจทย์เพื่ออาสาตัวการทำงานแก้ไขวิกฤตบ้านเมือง เหนือกว่าเหตุผลทางการเมือง อย่างที่เคยทำสมัย “พลังประชารัฐ” ซึ่งมี “เจ้าของพรรค” แต่ต้องการภาพลักษณ์ของ “ทีมสมคิด” ไปฉาบเคลือบไว้เท่านั้น
กระทั่งหลังการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล “ทีมเฮียกวง” ก็ไม่เข้าไปข้องแวะกับการตั้งกลุ่มๆ-มุ้ง เพื่อคะคาน หรือต่อรองทางการเมืองแต่อย่างใด สุดท้ายกลายเป็น “ผู้ถูกกระทำ” ถูกบีบในออกจากรัฐบาลอย่างที่ทราบกัน
เมื่อถอดบทเรียนแล้ว ก็ตกผลึกว่า จำเป็นต้องมีฐานการเมืองโดยการตั้งพรรคของตัวเองที่ปราศจากการถูกครอบงำ
ต้องยอมรับว่า ในแง่ฝีไม้ลายมือด้านเศรษฐกิจ นั้นถือว่าพิสูจน์แล้วว่า “ของจริง” อย่างผลงานพอเชิดหน้าชูตารัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ-คนละครึ่ง-เที่ยวด้วยกัน-เพิ่มค่าครองชีพผู้สูงอายุ ต่างก็เป็นมรดกที่ “ทีมสมคิด” ฝากไว้แทบทั้งสิ้น
แต่เมื่อขาดอำนาจทางการเมือง ก็ทำให้ขาดโอกาสในการทำงานต่อเนื่องในรัฐบาล กลายเป็นเพียง “มือปืนรับจ้าง” รับงานบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจเท่านั้น
ดังนั้น หากพรรคสร้างอนาคตไทยประสบความสำเร็จ ได้ส.ส.เป็นกอบเป็นกำในการเลือกตั้งครั้งหน้า และได้เข้าไปร่วมรัฐบาลรับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจ โดยมีที่นั่งส.ส.เป็นฐาน ก็อาจจะทำให้การทำงานแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ราบรื่นกว่าที่ผ่านมา
หรือทะลุเป้าได้เป็นถึงแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งมีชื่อ “สมคิด” เป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคสร้างอนาคตไทยด้วย ก็วางใจได้ว่า งานด้านเศรษฐกิจที่ถนัดคงไปได้ดีแน่นอน
ยิ่งเมื่อไล่เรียงดูพรรคการเมืองในสารบบที่ชูจุดขายด้านเศรษฐกิจ ตอบโจทย์ประเทศห้วงเวลานี้ ถือว่า “สร้างอนาคตไทย” ชัดเจนที่สุด
ขณะที่ด้านการเมือง-ความปรองดองสมานฉันท์ ก็ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร สามารถรวบรวมอดีตคนเห็นต่าง-คนต่างขั้ว มารวมตัวร่วมงานกันได้
ถือเป็นองค์ประกอบที่ทำให้โหวงเฮ้ง “สร้างอนาคตไทย” ดูดีไม่น้อย
**เอกสาร “มีชัย”หลุด บอก“ลุงตู่” ยังอยู่ไม่ครบ 8 ปี โดนถล่มเละ ทั้งชี้แจงเท็จ กระสุนด้าน น่าขายหน้า
หลังจาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย เรื่องวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี “ลุงตู่” ก็เก็บตัวเงียบ แม้กระทั่งการประชุมครม. ก็ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ มาจากกระทรวงกลาโหม
ขณะที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มารักษาการนายกฯ ก็ปฏิบัติงานอย่างกระฉับกระเฉง แบบ “ใช้ใจบันดาลแรง” ลงพื้นที่ต่างจังหวัด มีประชาชนมามอบดอกไม้ ยกป้ายเชียร์ แถมบอกให้เป็นนายกฯตัวจริงอีกต่างหาก
“ลุงตู่”เงียบ แต่ “ลุงป้อม” เป็นข่าวทุกวันจนทำให้ผู้คนอดนึกไม่ได้ว่า คราวนี้เห็นทีลุงตู่จะหลุดจากเก้าอี้จริงๆซะแล้ว บรรดานักการเมืองก็หันไปห้อมล้อม ใกล้ชิดลุงป้อม กันอย่างผิดสังเกต
แต่แล้วก็มี “เอกสารหลุด” ออกมา เป็นเอกสารคำชี้แจงของ“มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ชี้แจงถึงศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปี
“มีชัย” ระบุว่า การนับวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯของ”ลุงตู่” นั้นให้นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญปี 60 มีผลบังคับใช้ นั้นก็หมายความว่า “ลุงตู่”ยังมีเวลาของการเป็นนายกฯ เหลืออยู่ประมาณ 2 ปี
นอกจากนี้ “มีชัย” ชี้แจงถึงเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่ปรากฏในรายงานการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 500 เมื่อวันที่ 7 ก.ย.61 ที่เคยถูกตีความว่า ต้องนับเวลาการเป็นนายฯ ตั้งแต่ เม.ย. 57 ว่า เป็นการจดรายงานที่ไม่ครบถ้วน สรุปตามความเข้าใจของผู้จด คณะกรรมการร่างฯ ยังมิได้ตรวจรับรองรายงานการประชุมนั้น เพราะเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย และคณะกรรมการร่างฯ ได้ประกาศสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่ 12 ก.ย.61 ความไม่ครบถ้วนดังกล่าว อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้
เมื่อ “มีชัย” มีความเห็นอย่างนี้ก็เกิดกระแสตีกลับเป็นคุณกับ “ลุงตู่” แบบกองเชียร์ได้ลุ้น ขณะเดียวก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่หลุดมานั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่ เป็นการกดดัน ชี้นำศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยเฉพาะฝ่ายที่เห็นว่า “ลุงตู่” หมดเวลาแล้วนั้น ต่างออกมาแสดงความเห็นกันรัวๆ
“ไพศาล พืชมงคล” ที่ปรึกษาคณะหลอมรวมประชาชน ได้แสดงความเห็นว่า ที่ผ่านมาสื่อทุกสำนัก นำเสนอข่าวคำชี้แจงของ “มีชัย” ที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ “มีชัย” แถลง และคณะกรรมการร่างรธน. มีมติเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของ รธน.มาตรา 158 ตามรายงานการประชุม ครั้งที่ 500 ที่ ว่าต้องนับเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตั้งแต่วันดำรงตำแหน่งครั้งแรก คือ 24 ส.ค. 57 ไปจนครบ 8 ปี เพื่อไม่ให้ผูกขาดอำนาจนานเกินไป ซึ่งเป็นต้นเหตุวิกฤตของชาติ
แต่ในเอกสาร “มีชัย” ชี้แจงแบบตรงข้ามว่า ต้องนับเวลาการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ตั้งแต่วันที่รธน.60 ใช้บังคับ โดยอ้างว่า รายงานการประชุมครั้งที่ 500 ไม่ครบถ้วน ไม่สมบูรณ์ และไม่มีการรับรองเพราะเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย
ไม่ทันข้ามวัน สื่อทุกสำนักและโซเชียลฯ ก็เผยแพร่รายงานการประชุมครั้งที่ 501 ซึ่งมี “มีชัย” นั่งเป็นประธาน ซึ่งระบุว่า ที่ประชุมรับรองรายงานการประชุม ครั้งที่ 500 ว่าถูกต้อง โดยไม่มีการแก้ไข และเป็นหลักฐานยืนยันว่า การประชุมครั้งที่ 500 ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายตามที่มีการชี้แจง
“ไพศาล”บอกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้คำชี้แจงของ “มีชัย” กลายเป็นเรื่องโกหก และชี้แจงเท็จ แทนที่จะเป็นคุณกับลุงตู่ ก็อาจเป็นการช่วยซ้ำ เพราะทำให้คำชี้แจงนั้นเชื่อถือไม่ได้ หรือ ตกไป
หรืออย่าง “จาตุรนต์ ฉายแสง” แกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาพูดถึง “มีชัย” ว่าเห็นกบดานอยู่นาน นึกว่าจะมีทีเด็ดอะไร ถึงเวลากลายเป็น “กระสุนด้าน”
ที่ “มีชัย” บอกว่าให้นับเวลาตั้งแต่ ปี 60 ที่รธน.ใช้บังคับนั้น เป็นเพราะอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ตามรธน.ปัจจุบันมา ตั้งแต่ปี 60 ซึ่งฟังไม่ขึ้น เพราะ รธน. มาตรา 264 บัญญัติว่า ครม.ที่เป็นอยู่ ก่อนวันที่ รธน.นี้ใช้บังคับเป็น ครม.ตามรธน.นี้ ก็คือต้องนับมาตั้งแต่ปี 57 ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯมาแต่แรก
คำชี้แจงของ “มีชัย” จึงย้อนแย้งกันเอง แบบหาตรรกะ เหตุผลไม่ได้
ความเห็นของ“มีชัย” ในวันนี้ จึงไม่มีประโยชน์อะไร แก่ใคร จะมีก็แต่ความเสียหายต่อ “มีชัย”เอง ที่ไม่มีหลักการอะไร และยังมาลักไก่ให้คนเขาจับได้ขายหน้าไปทั่ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากมี เอกสารของ “มีชัย” หลุดออกมาแล้ว ยังมีเอกสารคำชี้แจงของ “ลุงตู่” หลุดซ้ำมาอีก ซึ่งเนื้อความบอกยังไม่ครบ 8 ปี เพราะเป็นนายกฯ ขาดตอน ไม่ได้เป็นต่อเนื่อง ... ตามหลักมาตรฐานสากลต้องไม่นับรวมช่วงเป็นนายกฯ ตาม รธน.ปี 57 เพราะสิ้นสุดไปแล้ว
ก็ต้องจับตาว่า เมื่อถึงที่สุดแล้ว การพิจารณาของศาลรธน. จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับเอกสารที่หลุดมาทั้งสองฉบับนี้ หรือไม่