“หมอเหรียญทอง” แนะ 10 ขั้นตอน “ตบทรัพย์” เกรียนคีย์บอร์ด เป็นงานอดิเรก ถูกกฎหมาย ก่อนหน้าชี้เป้านักร้อง “ฮาร์ท สุทธิพงษ์” นักวิชาการ วิเคราะห์ขาด ศึกอำนาจ “2ป” “ประวิตร” เหนือกว่า “ประยุทธ์” เล็กน้อย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(4 ก.ย.65) พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “เหรียญทอง แน่นหนา” ระบุว่า
“การตบทรัพย์พวกเกรียนคีย์บอร์ดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” คือ “งานอดิเรกลาภ” สำหรับผู้ที่มีความประสงค์ต้องการหารายได้จากผู้แชร์เฟคนิวส์หรือหมิ่นประมาท พลตรีเหรียญทอง แน่นหนา มีขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติดังนี้
1.ขอให้ท่านเลือกเฉพาะคนที่ปรากฏชื่อ-นามสกุล มีตัวตนชัดเจน พวกอวตารอย่าไปเสียเวลา
2.จากนั้นดูโปรไฟล์ หากเป็นคนที่มีการงาน มีการศึกษา มีอนาคต คนกลุ่มนี้จะสามารถจ่ายเงินเจรจายอมความ ยิ่งถ้ามีวิชาชีพ มีตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือเป็นเจ้าของกิจการด้วยแล้ว ยิ่งดี เพราะจะเจรจายอมความด้วยเงินจำนวนมาก ทีมงานของผมเคยกดหมอ 2 คนจนได้รับเงินเจรจายอมความมากถึง 50,000 บาทต่อคน จากกรณีแพทย์หมิ่นประมาทผม
3.เมื่อดำเนินการตามข้อ 1. และ 2. แล้ว ผมขอให้ท่านไปศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความผิด พ.ร.บ.คอมฯ ว่าบุคคลที่ท่านจะดำเนินการนั้นเข้าข่ายมาตราใดเสียก่อน จากนั้นค่อยดูต่อว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทอีกหรือไม่ หากเข้าข่ายแค่ พ.ร.บ.คอมฯ จากแชร์เฟคนิวส์ ก็ดำเนินการแค่นั้น (แค่นี้ก็หนักหนาต้องติดคุกแล้ว) การที่ผมขอให้ท่านศึกษาข้อกฎหมายจะทำให้ท่านมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ท่านสามารถศึกษาได้จากกูเกิ้ล ไม่ต้องถึงกับเรียนนิติศาสตร์กันจนจบหรอกครับ หากินง่ายๆอย่างนี้แหละ ลูกน้องผมคนหนึ่งเลิกรับจ้างทวงหนี้ เปลี่ยนมาหารายได้พิเศษจากการไล่ล่าอย่างนี้ดีกว่า ทั้งยังถูกต้องตามกฎหมายด้วย
4.เมื่อชัดเจนตามข้อ 1. 2. และ 3. แล้วให้ติดต่อ 02-574-5000 ต่อ 8800 สนง.ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ
5.ทีมงานของผมจะตรวจสอบความสมบูรณ์ถูกต้องแล้วจะแจ้งให้ทราบภายใน 7 วัน
6.หากตรวจสอบแล้วอยู่ในหลักเกณฑ์แจ้งความดำเนินคดีได้ ทีมงานของผมจะส่ง “หนังสือมอบอำนาจ” ไปให้ท่านทางไปรษณีย์ โดยทีมงานของผมจะระบุวิธีการปฏิบัติ เช่น ให้ใช้การแจ้งความกับ ตร.ที่ สน. หรือหากท่านเป็นทนายความเองก็ให้ฟ้องศาล เป็นต้น ทั้งนี้ทีมงานของผมจะระบุรายละเอียดอื่นๆให้ท่านสามารถปฏิบัติได้
7.เมื่อท่านได้รับ 'หนังสือมอบอำนาจ' จากผมแล้ว ท่านก็ดำเนินการตามข้อ 6.
8.เมื่อตำรวจมีหมายถึงผู้ต้องหาแล้ว หากผู้ต้องหาไม่ไกล่เกลี่ย ก็จะส่งอัยการ ดังนั้นการไกล่เกลี่ยในขั้นตอนนี้ ท่านสามารถรับการเจรจายอมความ อัตราเงินที่ส่วนใหญ่จะยอมไม่ต่ำกว่า 5,000-6,000 บาท หากเลยชั้นตำรวจไปยังอัยการกอัตราเงินยอมความก็จะสูงขึ้น 7,000-8,000 บาท และเมื่อส่งตัวฟ้องศาล ซึ่งผู้ต้องหาหรือ/จำเลยจะต้องประกันตัวโดยใช้เงินมากถึง 10,000 บาท เมื่อถึงขั้นตอนนี้จำเลยก็มักจะยอมจ่ายเงิน 8,000-9,000 บาท เพื่อยอมความ เพราะดีกว่าต้องเสียเงินประกันตัวศาล 10,000 บาทแถมยังต้องจ้างทนายความสู้คดีในชั้นศาลอีก ยังไม่นับรวมหากศาลพิพากษาจำคุกก็ยิ่งลากยาวไปอีกนาน
9.เงินที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยเจรจายอมความ ให้ท่านรับไปทั้งหมด ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ประจำปี
10.ในกรณีที่ท่านเป็นทนายความและต้องการฟ้องตรง ก็ขอให้ดำเนินการตามข้อ 2. ให้เลือกรายที่มีฐานะดีๆ ท่านจะได้ลาภลอยครับ
นี่คือ “การตบทรัพย์พวกเกรียนคีย์บอร์ดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
ที่ผมมอบหมายให้ทีมงานดำเนินการเป็นระยะ จนเป็น “งานอดิเรกลาภ” เป็นรายได้พิเศษของอดีตนักรับจ้างทวงหนี้ไปแล้ว
วันนี้ผมจะสร้างงาน สร้างรายได้พิเศษให้แก่เพื่อนรักน้องเลิฟ FCของผมให้มี “งานอดิเรกลาภ” จากการตบทรัพย์พวกเกรียนคีย์บอร์ดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ผมมีแนวความคิดที่จะขยายฐานลูกค้าผู้ใช้บริการไปถึงบุคคลที่ถูกให้ร้ายด้วยเฟคนิวส์เป็นประจำ เช่น นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี ฯลฯ หากท่านยินดี ผมก็จะทำให้ท่านฟรีๆ เพียงแต่ขอให้ท่านมอบอำนาจให้ทีมงานของผม และยกรายได้จากการเจรจาไกล่เกลี่ยทั้งหมดแก่ทีมงานผมเท่านั้นก็พอ รับรองรายได้พิเศษนี้ดีมากๆครับ”
ก่อนหน้านี้ (3 ก.ย.65) พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยังโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า
“ประกาศทนายความที่ต้องการหารายได้พิเศษกับผู้ที่เอาภาพของผมไปทำข่าวปลอม [Fake news]เผยแพร่เกี่ยวกับรองเท้านันยาง รองเท้าอริราชศัตรู และผู้ที่กระทำการหมิ่นหรือด่าทอผมต่างๆนานา
การเผยแพร่ข่าวปลอมดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญาและแพ่ง(วันละ 25,000 บาทนับแต่วันที่โพสต์และเผยแพร่ข่าวปลอม หรือร่วมหมิ่นในโพสต์ต่างๆนะครับ)
ทั้งนี้ทนายความที่ต้องการรายได้พิเศษสามารถเลือกดำเนินการกับผู้ที่กระทำความผิดหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมฯ โดยท่านสามารถเลือกจัดการเฉพาะคนที่มีอนาคต มีฐานะทางสังคมหรือทางการเงิน เช่น ไอ้นักร้องชื่อ ฮาร์ท สุทธิพงษ์, นักธุรกิจ, พ่อค้า, อาจารย์, แพทย์, ข้าราชการ เป็นต้น
ทั้งนี้ผมจะคิดความเสียหายจากการเผยแพร่ข่าวปลอมนี้เป็นค่าสินไหมตามอัตรา 25,000 บาทต่อวันนับจากวันที่แต่ละคนโพสต์หมิ่นและเผยแพร่ข่าวปลอมดังกล่าว รายได้จากผู้กระทำความผิดยกให้ทนายความที่ดำเนินคดีโดยไม่หักเปอร์เซ็นต์ครับ”
ขณะเดียวกัน รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อาจารย์คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และอดีตประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“ศึกอำนาจยกแรก ประวิตรเหนือกว่าประยุทธ์อยู่เล็กน้อย
ระหว่างที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี การต่อสู้เพื่อช่วงชิงโอกาสและภาวะการนำทางการเมืองระหว่างฝายพลเอกประยุทธ์ และฝ่ายพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ดำเนินไปอย่างเข้มข้น
ทันทีที่รับหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร เปิดฉากรุกทางการเมืองอย่างฉับพลัน มาตรการล้างภาพลักษณ์เดิม สร้างภาพลักษณ์ใหม่ถูกปล่อยออกมาอย่างถี่ยิบ
ภาพแห่งความชราภาพ ความอ่อนล้าโรยแรงทางร่างกายที่เดินไปไหนต้องมีคนพยุงหายไป ขณะที่ ภาพของความกระฉับกระเฉง แข็งแรงเข้ามาแทนที่ คำคม “ใจบันดาลแรง” ถูกปล่อยออกมาถูกจังหวะ และสะท้อนว่า พลังแห่งความปรารถนาในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้นมีพลานุภาพอย่างมหาศาล จนทำให้สภาพร่างกายที่เคยดูย่ำแย่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ภาพที่เคยตอบนักข่าวว่า “ไม่รู้” เมื่อครั้งเป็นรองนายกฯหายไป แทนที่ด้วยการตอบคำถามเป็นเรื่องเป็นราว และสื่อออกมาในเชิงบวกมากขึ้น
ภาพของแห่งการยื่นมือช่วยเหลือหน่วยงานท้องถิ่น ก่อนที่ถูกร้องขอก็มีให้เห็น ดังกรณีโทรศัพท์ไปยังผู้ว่ากรุงเทพฯ ในเรื่องการช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม การทำงานแบบประสานเครือข่าย โดยไม่ถือตัวว่ามีตำแหน่งสูงกว่าเช่นนี้ เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ทำให้ได้ใจคนไม่น้อยทีเดียว
ยิ่งกว่านั้น แผนงานการลงพื้นที่เพื่อติดตามงานต่าง ๆ ในต่างจังหวัด ก็มีการจัดวางอย่างเป็นระบบ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหา และการเข้าถึงประชาชน และเมื่อลงพื้นที่แล้วก็สร้างเหตุการณ์และภาพประทับใจเชิงการละครที่สามารถเป็นข่าวได้ทั้งสัปดาห์
ในช่วงสัปดาห์แรกของการรักษาการนายกฯ การเปิดเกมรุกทางการเมืองอย่างรอบด้านของฝ่ายพลเอกประวิตร ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จไม่น้อยทีเดียว
ขณะที่พลเอกประยุทธ์ ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่ก็มีความพยายามตอบโต้กลับ ดังการเรียกนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกฯ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เข้าหารือสถานการณ์ทางการเมือง พร้อมกับปล่อยภาพของการหารือสู่สาธารณะ อันเป็นสัญญาณว่ายังพร้อมที่จะสู้เพื่อรักษาตำแหน่งเอาไว้ เพื่อรักษาขวัญกำลังที่กำลังตกต่ำของผู้สนับสนุนตนเอง
ตามด้วยการลงไปตรวจงานของหน่วยสังกัดกลาโหม ที่จังหวัดอยุธยา ทว่าแทนที่จะได้คะแนน กลับเสียคะแนนไปไม่น้อย ด้วยวิธีการจัดการแบบทหารที่เน้นความปลอดภัย มากกว่าการพบปะเข้าถึงประชาชน
เท่าที่เห็นจากข่าวสารต่าง ๆ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอกประวิตรดูเหมือนจะเหนือกว่าพลเอกประยุทธ์อยู่ไม่น้อยทั้งงานบริหารราชการ บริหารเครือข่าย และงานมวลชน
แต่ละครการชิงอำนาจการเมืองยังไม่จบ ประชาชนก็กันต่อไปว่า เมื่อฝ่ายพลเอกประยุทธ์ รู้สถานการณ์ที่เป็นรองของตนเองแล้ว และตั้งตัวได้แล้ว จะดำเนินการใช้กลยุทธ์ทางการเมืองอะไรบ้างในการโต้กลับและพลิกสถานการณ์คืนมา
แต่หากทำไม่ได้หนทางของความพ่ายแพ้ และการปิดฉากบทบาททางการเมืองอย่างเจ็บปวดก็อาจเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า”
แน่นอน, เห็นได้ชัดว่า เกมแห่งอำนาจบางครั้งก็ไม่เข้าใครออกใคร “2 ป” ก็เถอะ!?
สังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนขยายผลมาเป็นความขัดแย้ง การกล่าวหา สร้างข่าวปลอม ปล่อยข่าวลือ ก็ต้องอาศัยกระบวนการทางกฎหมายจัดการ เพื่อปกป้องตัวเอง เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเข้าใจขีดจำกัดการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ที่ไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น หรือ เข้าข่ายทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพ.ร.บ.คอมฯ
อย่างที่ “หมอเหรียญทอง” คิดค้นวิธีการอันแยบยลจัดการกับพวกที่จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย และหมิ่นประมาท ก็นับว่าน่าสนใจ เพราะถ้าไม่กลัว ก็ต้องเจอกับปฏิบัติการจริง ที่ต้องจ่ายราคาแพง หรือไม่ก็ติดคุกเอาง่ายๆ
แต่ก็คงไม่ใช่เอะอะกับฟ้อง เพื่อหารายได้ หรือจ้องทำมาหากินจนเกินไป จนทำให้ยิ่งขยายผลความขัดแย้งไปกันใหญ่ รวมทั้งเกิดปัญหาอื่นตามมา คือ สิ่งที่ต้องระวังด้วยเช่นกัน
หวังว่ามาตรการนี้จะช่วยหยุดการทำผิด หรือลดการทำผิดลง เพราะกลัวเกรงผลของการกระทำ มากกว่าจะสร้างปัญหาอื่นตามมา?