ข่าวปนคน คนปนข่าว
**คนนินทา หมาดูถูก เมื่อ “เนตร นาคสุข” โผล่ยื่นเป็น ป.ป.ช. รอบสอง
กลับมาอยู่ในเรดาร์ความสนใจของสังคมอีกครั้ง สำหรับ “เนตร นาคสุข” อดีตรองอัยการสูงสุด เมื่อมีคนเห็นไปปรากฏตัวที่บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) จุดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ฟังว่า “ลุงเนตร” มาสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. แทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 1 คน และนี่ถือเป็นการยื่นสมัครเป็นครั้งที่สองแล้ว หลังจากครั้งแรกคุณสมบัติ “ไม่ผ่าน” !!
จะเรียกว่า เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจ หรือเป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชนของเจ้าตัวก็ไม่อาจทราบได้ แต่ก็กลายเป็นหัวข้อที่ให้ชาวโซเชียลฯ ได้คอมเมนต์ กันครึกครื้นถึง “ความหนา” ชนิดตัดสินกันลำบากเมื่อเทียบคอนกรีตเสริมใยเหล็ก
บางคนถึงขั้นยกให้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “ประเทศกูมี” ไทยแลนด์โอนลี่ ที่อายุอานามวัย 67 ปีแล้ว แถมมีเรื่องอื้อฉาว มีมลทิน ยังมีความต้องการที่จะเข้าไปทำงานองค์กรอิสระแบบย้อนแย้งในตัวเอง ควรพิจารณาตัวเองได้ว่า พอได้แล้วหรือยังลุง?
นั่นเพราะว่า “เนตร นาคสุข” เคยมีชื่อโด่งดัง เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ในสังคม ในสมัยที่ยังอยู่ในตำแหน่ง “รองอัยการสูงสุด” สมัย “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” เป็นอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้อง วรยุทธ หรือ “บอส อยู่วิทยา” ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหาคดีขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต แบบค้านสายตาประชาชน จนนำมาซึ่งการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกัน และคณะกรรมการ ก.อ. มีมติ เเละคำสั่งให้ลงโทษ เนตร นาคสุข “ให้ออกจากราชการ” ไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
ผลสอบคณะกรรมการอัยการชี้ชัดว่า “คดีบอส” นั้น “เนตร” ขาดความระมัดระวัง ไม่ละเอียดรอบคอบ ในการรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่สำคัญในคดี และไม่ให้ความสำคัญกับสำนวนทุกประเภท ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญา ของพนักงานอัยการ (อันเป็นระเบียบที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิดตามที่ ถูกกล่าวหา) เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
นอกจากคดีทายาทเศรษฐีหมื่นล้าน “เนตร” ยังเป็นผู้ลงนามคำสั่งชี้ขาดไม่อุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อท.245/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโตของ “โทนี่ วู้ดซั่ม” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในคดีร่วมกันฟอกเงิน ทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำนวน 10 ล้านบาท ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงินอีกต่างหาก
ครั้งแรกคุณสมบัติไม่ผ่าน งานนี้ยื่นใหม่ครั้งที่สอง “เนตร” แสดงความจำนงแน่วแน่ ด้วยหวังจะเป็นผู้ถูกสรรหาได้รับเลือกเป็น ป.ป.ช. ซึ่งจะสมหวัง หรือ ผิดหวังซ้ำ ก็ต้องติดตามกันต่อไป ที่แน่ๆ ระหว่างนี้ ด้วยประวัติการทำงานที่สังคมยังคาใจย่อมไม่พ้นคนนินทา หมาดูถูก แบบนี้ละลุง
**“นอสตราดามุสเมืองไทย” ทายว่า หลัง 24 สิงหาฯ จะพาแตกแยกครั้งใหญ่ พัฒนาไปสู่ “ตุลาอาถรรพ์” ถึงขั้นเปลี่ยนขั้วการเมือง ถึงวันนี้ (24 ส.ค.) กลุ่มคนที่เห็นว่า การนับวาระ 8 ปี ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นครบแล้ว หากนับตั้งแต่วันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 57 ตาม รธน.ฉบับปี 57
ขณะเดียวกัน คอการเมืองก็ใจจดใจจ่อ ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาในวันนี้ หรือไม่ หลังจากคำร้องของฝ่ายค้านที่ยื่นขอให้ตีความ ถูกส่งไปถึงศาล รธน. ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งปกติศาล รธน.จะประชุมกันทุกวันพุธ
ถ้ามีการนำเรื่องนี้เข้าหารือ ผลในเบื้องต้นจะออกมาอย่างไร... รับไว้พิจารณาหรือไม่ นั้นคงต้องรับ...แต่ไฮไลต์อยู่ที่จะสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
นักข่าวก็พยายามถามนายกฯ ถึงเรื่องนี้ว่าได้มีการเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร แต่ก็ไม่ได้คำตอบ นอกจากบอกว่า “เจ็บคอ”
ขณะที่ข่าว “อินไซด์ ครม.” ก็บอกว่า “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ได้นำชาร์ต เพาเวอร์พอยท์ อธิบายเรื่องนี้ ให้ ครม.รับฟังอย่างละเอียดยิบ วิเคราะห์ทั้ง 3 แนวทาง โดย 1. เริ่มนับจากการเป็นนายกฯ ครั้งแรก วันที่ 24 ส.ค. 57 ตาม รธน.ปี 57 ก็จะครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค. 65
ส่วนแนวทางที่ 2 เริ่มนับจากการเป็นนายกฯ ครั้งที่ 2 วันที่ 9 มิ.ย. 62 ตาม รธน.ปี 60 มาตรา 158 ก็จะครบ 8 ปี ในวันที่ 8 มิ.ย. 70 และ แนวทางที่ 3 เริ่มนับจากวันประกาศใช้ รธน. 60 คือ วันที่ 6 เม.ย. 60 เพราะบทเฉพาะกาล มาตรา 264 ให้ ครม.เก่า เริ่มเป็น ครม.ใหม่ ตาม รธน.ใหม่ ในวันดังกล่าวจึงครบ 8 ปี ในวันที่ 5 เม.ย. 68
สำหรับขั้นตอนการพิจารณาของศาล รธน. ก็จะมี 2 แนวทาง คือ ไม่รับเรื่อง และรับเรื่อง หากรับเรื่อง ศาลอาจส่งมายังรัฐบาลให้ชี้แจง และอาจสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่สั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ได้ ซึ่งศาลอาจจะยังไม่มีคำสั่งในวันนี้ เพราะต้องมีกระบวนการในการไต่สวน 2-3 วัน ก่อนค่อยสั่งก็ได้
หากศาลสั่งให้นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ จะทำหน้าที่รักษาการแทน และปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับ ครม. รวมถึง “พล.อ.ประยุทธ์” ยังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้
แต่ถ้าศาลไม่สั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกฯ และ ครม. ก็ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมา
ดังนั้น ขอให้ฝ่ายการเมือง และฝ่ายประจำ ปฏิบัติหน้าที่ไปตามปกติ อย่า “เกียร์ว่าง”!!
ในเรื่องขั้นตอน กระบวนการของศาล รธน.นี้ “จรัญ ภักดีธนากุล” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บอกเล่าตามประสบการณ์ว่า ดูแล้วศาล รธน.จะต้องรับคำร้องนี้ แต่กระบวนการในการพิจารณา อาจไม่รวดเร็ว เพราะต้องรอบคอบ รัดกุม และฟังความจากทุกฝ่าย
ปัญหาเรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะกฎหมายไม่ชัดเจน บอกเพียงว่า วาระนายกฯ 8 ปี โดยไม่ได้ระบุว่า นับตั้งแต่เมื่อใด เท่ากับเปิดช่องให้ถกเถียงกัน และไม่เคยมีบรรทัดฐานมาก่อน ศาลจะต้องส่งสำเนาคำร้องให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ว่า มีข้อชี้แจง โต้แย้งคำร้องอย่างไร หรือไม่ ซึ่งมั่นใจว่า นายกฯต้องชี้แจง ตรงนี้ก็ใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ...ดังนั้น กว่าจะรู้ผลสรุปในขั้นสุดท้าย อย่างน้อยต้องมี 2 เดือน... แต่ถ้า “ตีตก” ก็อาจจะเร็วกว่านี้
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ “ม็อบต้าน” และ “ม็อบเชียร์” ก็เตรียมเคลื่อนไหว อย่างเช่น กลุ่มของ “จตุพร พรหมพันธุ์” และ ทนายนกเขา “นิติธร ล้ำเหลือ” ซึ่งไปปักหลักอยู่ที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ก็เตรียมเคลื่อนมากดดันที่ทำเนียบ เพราะเห็นว่านายกฯอยู่ครบ 8 ปีแล้ว
ส่วน “อานนท์ แสนน่าน” อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดง ที่ตอนนี้กลับหลังหัน เปลี่ยนมาเป็นประธานหมู่บ้านเทิดไท้องค์ราชันฯ และเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการการเมือง ประจำอยู่ที่ทำเนียบ เมื่อไม่นานมานี้ ก็ออกมาประกาศปกป้อง “ลุงตู่” แบบว่า พร้อมยกทัพมวลชนเข้ากรุง หรือจะเป็นแบบ “ม็อบชนม็อบ” ก็ไม่หวั่น
ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เช่นนี้ สำหรับการเมืองแบบไทยๆ ที่จะขาดไม่ได้ก็คือคำทำนายของ หมอดู !!
“นอสตราดามุสเมืองไทย” โสรัจจะ นวลอยู่ หมอดูชื่อดัง บอกว่า หลังจาก 24 ส.ค.นี้ จะเกิดความวุ่นวายทางการเมือง ม็อบต่างๆ จะลงสู่ถนน เพราะทนไม่ไหวกับค่าครองชีพ ปัญหาเศรษฐกิจจะหนักหนาสาหัสกว่าปี 2540 ทางการแก้ปัญหาล่าช้า เพราะมัวไปยุ่งอยู่แต่กับเรื่องการเมือง และความอยู่รอดของตัวเอง
...ทุกอย่างกำลังเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุด ในช่วงเดือนตุลาคม หรือที่เรียกว่า “ตุลาอาถรรพ์” โดยมาจากอิทธิพลของดวงดาวใหญ่ เช่น ดาวมฤตยู ย้ายออกจากลักคนาดวงเมือง เมื่อวันที่ 7 ก.ค.และจะกลับมาอีกครั้งเดือน ธ.ค. อยู่ราศีเมษ 1 เดือน และจะออกไปเลยหลังจากที่อยู่ทับดวงเมืองมา 7 ปี
การย้ายออกแต่ะละครั้งจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว เกิดความรุนแรงใหญ่ๆ ทุกด้าน ทั้งทางการเมือง จะมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนขั้วการเมือง ...เศรษฐกิจ สังคม ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคอุบัติใหม่...
“ตุลาอาถรรพ์ เกิดจากผลของวันที่ 24 ส.ค.ที่ยากจะจบลงไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมา เพราะทุกคนคิดว่าเป็นฝ่ายถูก ทำให้พูดคุยกันไม่ได้ เกิดความแตกแยกครั้งใหญ่สุด จะไปเกิดเปรี้ยงปร้างเดือนตุลาฯ รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำมากที่สุด
ประชาชนกลุ่มต่างๆ เดือดร้อนหนัก จนทนไม่ไหว ซึ่งอาจจะเห็นว่า ช่วงนี้คุมอยู่ แต่เวลาจะระเบิดขึ้นมาอย่างน่ากลัวอย่างที่ไม่มีใครจะคาดคิด ความรุนแรงทางการเมืองลุกลามไปถึงปีหน้า” นอสตราดามุสเมืองไทย ทำนายไว้