กรมโยธาฯ มท. แจงยิบ! หลัง “คน จ.น่าน” กังวลแรงสั่นสะเทือน รื้อถอนอาคารศาลากลางหลังเก่า สร้างหอศิลปวัฒนธรรมฯ อาจส่งผลต่อโบราณสถานโดยรอบ ทั้ง วัด เจดีย์ ย้ำ! โปรเจกต์ 700 ล้าน ต้องวางโครงสร้างอาคารใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ฐานรากถึงตัวอาคาร ยันโครงสร้างเดิมไม่รองรับ “แผ่นดินไหว” ชี้ ต้องสร้างเพื่อรับน้ำหนักจร ไม่น้อยกว่า 500 กก./ตร.ม. ที่ปัจจุบันรับได้เพียง 250 กก./ตร.ม.
วันนี้ (22 ส.ค.) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นายสุเมธ มีนาภา รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) กล่าวถึงโครงการการปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน (หลังเดิม) เพื่อเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านและแหล่งเรียนรู้ล้านนาตะวันออก ภายหลัง จ.น่าน ได้จัดประชุมรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ จำนวน 4 ครั้ง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ส.ค. นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้หนังสือด่วนที่สุดถึงอธิบดี ยผ. เพื่อขอหารือถึงการก่อสร้างอาคารฯ ว่า ถ้าใช้โครงสร้างอาคารเดิมจะรับน้ำหนัก พื้นที่ใช้สอยใหม่ และรองรับแผ่นดินไหวได้หรือไม่
โดย นายสุเมธ รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดี ยผ. ก็ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดที่ผู้ว่าฯ น่าน เพื่อตอบข้อหารือดังกล่าว มีรายละเอียดย้ำในหนังสือว่า จะต้องปรับปรุงโครงสร้างอาคารใหม่ทั้งหมดเพื่อให้รองรับน้ำหนักจรในกิจกรรมที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคน และสร้างเพื่อให้รองรับแผ่นดินไหว ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 49 (พ.ศ. 2540)
กอรปกับในการประชุมรับฟังความเห็นครั้งที่ 5 (19 ส.ค.) มีประเด็นข้อซักถามจากประชาชนผู้เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร เนื่องจากไม่ทราบชัดเจนว่า อาคารดังกล่าวที่ได้ออกแบบไว้เดิม เพื่อเป็นที่ทำการของหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดน่าน หากมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์อาคาร เพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารตามที่ได้ออกแบบเดิมไว้หรือไม่
คนในพื้นที่ มีความกังวลในประเด็น แรงสั่นสะเทือนจากการรื้อถอนอาคารเดิมที่อาจส่งผลต่อโบราณสถานโดยรอบ อาทิ วัด เจดีย์
ยธ.ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า โครงสร้างอาคาร หากมีการปรับปรุงอาคารเพื่อใช้เป็นอาคารหอศิลปวัฒนธรรมฯ จะสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกที่มีการปรับพื้นที่ใช้สอยใหม่ รวมถึงความสามารถในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ตามกฎกระทรวงได้หรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางในการตอบข้อซักถามในการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในครั้งต่อไป
“ยธ.ได้ตรวจสอบแล้ว เนื่องจากตามกฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้กำหนดน้ำหนักบรรทุกจรของอาคารสำนักงานไม่น้อยกว่า 250 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แต่หากเปลี่ยนการใช้งานเป็นอาคารหอศิลปวัฒนธรรมฯ เข้าข่ายเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ จะต้องรับน้ำหนักบรรทุกจรไม่น้อยกว่า 500 กิโลกรัมต่อตารางเมตร”
อีกทั้งอาคารศาลากลางหลังเดิม ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนปี พ.ศ. 2540 (กฎกระทรวงฉบับที่ 49 (พ.ศ. 2540) เกี่ยวกับการออกแบบอาคารต้านแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว มีผลบังคับใช้) จึงมิได้ออกแบบอาคารเพื่อต้านแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ตามกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564
“ดังนั้น หากจะเปลี่ยนแปลงการใช้งาน จะต้องทำการออกแบบดัดแปลงอาคารเพื่อเสริมความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร ตั้งแต่ฐานรากตลอดจนโครงสร้างของอาคารใหม่ทั้งหมด ให้สามารถรับน้ำหนักบรรทุกจรที่เพิ่มขึ้นและต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้อย่างปลอดภัย ตามกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนักฯ ปี 2564”
สำหรับ โครงการดังกล่าว “มูลนิธิรักษ์ป่าน่าน” เสนอตัวเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้งบประมาณ 600 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 2 ปี ออกแบบโดยใช้หลักอาคารเขียว
เมื่อปี 2564 มีเสียงวิจารณ์จากคนในพื้นที่ ว่า อาคารถูกปล่อยทิ้งร้างมานานกว่าสิบปี จนทรุดโทรมและกลายเป็นแหล่งมั่วสุม พบถุงยางอนามัยใช้แล้วทิ้งเกลื่อนบนพื้นถนน พงหญ้า และบนห้องต่างๆ ในตัวอาคาร
โดยเฉพาะชั้นบนซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นห้องทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน พบขวดสุรา ก้นบุหรี่ ไม้ขีดไฟ เกลื่อนห้อง และมีการนำเบาะรองนั่ง ผ้ามาปูเป็นที่นอน รวมทั้งพบซองใส่ถุงยางอนามัยจำนวนมาก
ขณะที่ส่วนใหญ่ เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนา-ปรับปรุงศาลากลางดังกล่าว หลังจากส่วนราชการได้ย้ายไปที่ศูนย์ราชการจังหวัดน่าน เมื่อปี 2556
สำหรับศาลากลางจังหวัดน่านหลังเก่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองน่าน ย่านถนนสุริยพงษ์ ต.ในเวียง อ.เมืองน่าน บริวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยวัดเก่าแก่ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน คุ้มเจ้า และสถานที่ราชการหลายแห่ง
ขณะที่ โครงการหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่านฯ คณะทำงานจัดทำแผนแม่บท คณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าน่าน ได้รับการจัดสรรงบประมาณผ่านองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. 250 ล้านบาท
ตามแผนเดิม จะเริ่มดำเนินการปรับปรุงตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ใช้ประโยชน์ได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568