ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ส่อแลนด์สไลด์ทิพย์ เพื่อไทยเลิกฝันกวาด ส.ส.อีสาน ขั้วไหนอยากเป็นรัฐบาล ต้องพึ่ง “ภูมิใจไทย” สถานเดียว
เห็นหน้าตา 93 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อีสาน ของพรรคเพื่อไทย ที่เอามาเปิดตัวกันเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ชักไม่แน่ใจว่า เป้าหมายที่จะได้ชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะสำเร็จหรือไม่
เพราะแต่ละคนล้วนเป็นผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ส.หน้าเก่า ที่ลงสนามมาแล้วหลายสมัย ไม่ได้มีผลงานเตะตาอะไร แต่หวังอาศัยกระแสพรรค เมื่อนายใหญ่ส่งลูกสาวมานำพรรคเอง ผลโพลชี้ว่าคะแนนนิยมกลับคืนมา ก็หวังจะ “ขี่กระแส” เข้าสภาให้ได้เท่านั้นเอง
ดูเบื้องหน้าเบื้องหลังของหลายคนที่มาอยู่ตรงนี้ ก็จะเห็นว่าไม่ได้รัก หรือศรัทธาพรรคอะไรขนาดนั้น แต่ต้องการพึ่งพิงกระแสพรรคเพื่อไทยที่เชื่อกันว่ายังได้รับความนิยมในอีสาน ให้ตัวเองเข้าสภามากินเงินเดือน ส.ส.ได้เท่านั้น
ระยะหลังชาวบ้านหลายคนตื่นรู้ เพราะได้ตัวแทนจากพรรคที่ชอบเข้าไปเป็น ส.ส.ก็จริง แต่เนื้องานในพื้นที่ไม่บังเกิด ต่างจากส.ส.พรรคการเมืองอื่นที่ตัวเองต่อว่าทุกเช้าเย็น กลับมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันให้จับต้องได้เพียบ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง ผุดเป็นดอกเห็ด นำความเจริญเข้าไปถึงเข้าไปทุกซอกทุกมุม ให้เห็นกันเต็มๆ ตา
เมื่อพรรคเพื่อไทยใช้ผู้สมัคร ส.ส.หน้าเดิมๆ ที่ไม่มีผลงานมาแข่ง โอกาสที่จะปังกันทุกพื้นที่ กวาดชัยชนะแบบ “แลนด์สไลด์ทั่วอีสาน” จึงค่อนข้างยาก ซึ่งหากได้จำนวน ส.ส.พื้นที่อีสานไม่เป็นไปตามเป้า ความหวังที่จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะริบหรี่ลงทันที
การจะ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” หรือไม่ให้ ส.ว.มาร่วมโหวตเลือกนายกฯได้ จำเป็นที่พรรคเพื่อไทย ต้องมี ส.ส.อยู่ในมือถึง 376 ที่นั่ง ซึ่งหากกวาด ส.ส.อีสานทั้งหมดไม่ได้ ก็เลิกฝันไปได้เลย
มีอีกทางคือ พรรคเพื่อไทย ต้องไปจับมือกับพรรคอื่นๆ เพื่อรวบรวมเสียงให้ได้ 376 เสียง ซึ่งลำพังพรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย ยังไม่แน่ใจว่าจะถึงจำนวนดังกล่าวหรือไม่
ครั้นจะไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ ตรงนี้คะแนนถึงแน่ เพราะจะได้เสียงจาก ส.ว.มาช่วย สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ปัญหาคือ พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้นายกรัฐมนตรีของตัวเอง แต่จะเป็นคนที่อีกฝั่งเลือกมาให้ พรรคเพื่อไทยก็กลายเป็นแค่นั่งร้านดีๆ ให้เขาเท่านั้น
ถึงเวลานี้ ต้องบอกว่า พรรคที่เป็นตัวแปรจริงๆ คือ พรรคภูมิใจไทย ที่มี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข เป็นหัวหน้าพรรค หากพรรคเพื่อไทยต้องการปิดสวิตช์ ส.ว.เพื่อให้สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีในบัญชีของตัวเองได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทอดไมตรีไปยังค่ายสีน้ำเงิน
ยิ่งพรรคเพื่อไทยเอง ไม่ได้อยากจะทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย เพราะไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันตั้งแต่แรก การผูกสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทย ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำ
พรรคเพื่อไทยน่าจะรู้ดีว่าการทำงานร่วมกับพรรคภูมิใจไทยนั้น ง่ายกว่าพรรคก้าวไกล เห็นได้จากบทบาทการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย แทบไม่สร้างปัญหาเลย ค่อนข้างนิ่งและมีเอกภาพ ที่สำคัญ “ไว้ใจได้” ไม่มีตลบหลัง หรือแทงข้างหลังพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง
ต่างจากพรรคก้าวไกล ที่พรรคเพื่อไทยเจอปัญหาโดนคนของพรรคนี้พยายามวัดรอยเท้ามาโดยตลอด จนเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันไม่รู้กี่ครั้ง
คนกุมทิศทางพรรคเพื่อไทย น่าจะมองออกว่า ยุทธศาสตร์ของพรรคตอนนี้ ไม่ใช่ไปชวนพรรคภูมิใจไทยทะเลาะ หรือเห็นภูมิใจไทยเป็นศัตรู ไปแข่งขันฟาดฟันกันแบบเอาเป็นเอาตาย จนไม่เหลือช่องว่างสำหรับการสร้างมิตรภาพ เพราะวันหนึ่งพรรคภูมิใจไทย จะเป็นตัวแปรเบอร์ต้นๆ ที่พรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องพึ่งพา
เช่นเดียวกันกับพรรคพลังประชารัฐ ที่กระแสกำลังตกแบบรูดมหาราช เผลอๆ เลือกตั้งครั้งหน้า อาจได้จำนวน ส.ส.น้อยกว่าพรรคภูมิใจไทยด้วยซ้ำ หากยังต้องการเป็นรัฐบาลต่อ ก็จำเป็นต้องพึ่งพาพรรคภูมิใจไทย อีกเช่นกัน
พรรคพลังประชารัฐ อาจมีเสียง ส.ว.ตุนไว้ก่อนแล้วก็จริง แต่ก็จำเป็นต้องรวบรวม ส.ส.ให้ได้มากกว่ากึ่งหนึ่ง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างสง่างาม ไม่โดนเย้ยหยันว่าต้องให้ ส.ว.ลากตั้งเข้ามาช่วย
และเพื่อความมีเสถียรภาพระหว่างการบริหารประเทศ ที่จะต้องผ่านกฎหมายสำคัญหลายฉบับ และสู้ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งหากจะรวบรวม ส.ส.ให้ได้เกินครึ่งสภา ก็จำเป็นต้องมีพรรคภูมิใจไทย ด้วยเช่นกัน
**จับตา “โกเดค” เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยคนใหม่ จะเข้ามาส่งเสริมหรือแทรกแซงไทย
ในที่สุด ที่ประชุมวุฒิสภาสหรัฐฯ ก็ลงมติเห็นชอบให้ “โรเบิร์ต แฟรงก์ โกเดค” เป็นว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยคนใหม่ ตามที่ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เสนอ ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะมีพิธีสาบานตน และเดินทางมาไทยเพื่อรับหน้าที่อย่างเป็นทางการ
“โกเดค” จบการศึกษาขั้นสูงสุดในระดับปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยเยล การทำงานที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะประจำอยู่ในประเทศย่านแอฟริกา มีบางช่วงที่มีความเกี่ยวพันกับประเทศในย่านอาเซียน คือ เป็นผู้ช่วย ผอ.สำนักงานประเทศไทยและเมียนมา ภายใต้สำนักกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และเคยเป็น ผอ.กิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ
กับประเทศไทยนั้น “โกเดค” ได้เคยพูดถึงแนวทางการทำงานของเขาต่อที่ประชุมวุฒิสภา ว่า จะเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ความเป็นหุ้นส่วน และความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯกับไทย เพื่อรักษาความมั่นคงของทั้งสองประเทศ และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งจะส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในไทย
เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะให้การยอมรับรัฐบาลไทยที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี 2562 หลังจากรัฐประหารเมื่อปี 2557 แต่ยังมีงานที่ต้องทำในเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และสนับสนุนภาคประชาสังคม สื่อมวลชนที่เป็นอิสระ
นอกจากนี้ เขายังเคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับ มาตรา 112 แบบถูกอกถูกใจบรรดา “สามกีบ” มาแล้ว โดยบอกว่า อเมริกาเคารพราชวงศ์ไทย ในฐานะสถาบันหนึ่งและเข้าใจความจงรักภักดีของคนไทยต่อราชวงศ์ แต่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนั้นสำคัญอย่างยิ่ง!! เขาเคยย้ำในทางสาธารณะ และส่วนตัวถึงความสำคัญที่ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องหวาดกลัวต่อการถูกจับกุม
การพูดตอนแรกนั้นเหมือนจะดูดี แต่สุดท้ายก็พอจะบ่งบอกได้ว่าเขามีทัศนคติอย่างไรต่อสถาบันฯ
“สนธิ ลิ้มทองกุล” เคยพูดถึง “โกเดค” ในรายการ “สนธิทอล์ก” เมื่อช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ถึงทัศนคติ และภารกิจที่จะมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ว่า นอกจากเรื่องสถาบันฯ เรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์ เขาแล้วยังต้องการให้ไทยร่วมกดดันรัฐบาลทหารพม่า ด้วยการลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันจากพม่า คือ พูดง่ายๆ ว่าไม่ให้ไทยซื้อก๊าซ ซื้อน้ำมันจากพม่า โดยอ้างว่าพม่าเอาเงินที่ได้จากการขายก๊าซ ขายน้ำมัน ไปใช้ในการปราบปรามชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่กระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลทหารพม่าอยู่ในขณะนี้
ถือเป็นการเอาเรื่องเศรษฐกิจ ด้านพลังงาน ไปผูกกับเรื่องการเมือง อ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน แล้วถือโอกาสเข้ามาแทรกแซง... แล้วถ้าวันดีคืนดี เกิดมาอ้างว่า ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ที่เกิดเรื่องวุ่นวาย เกิดความรุนแรง เพราะว่ารัฐบาลไทยไปกดดัน ไปละเมิดคนมุสลิมทางภาคใต้ แล้วอ้างว่า สหรัฐฯ ต้องเข้ามาจัดการอย่างนั้น อย่างนี้จะมิยุ่งกันไปใหญ่หรือ
โดยเฉพาะเมื่อย้อนกลับไปดูประวัติของ “โกเดค” ที่เคยไปประจำการอยู่ตามประเทศต่างๆ ล้วนแต่เคยไปสร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศเหล่านั้น ถึงขั้นเคยถูกประท้วงขับไล่ก็มีมาแล้ว
จึงน่าเป็นห่วงว่า เมื่อเขามารับตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย จะมิเข้ามาป่วน ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องสถาบันฯ รวมทั้งบนดิน ใต้ดิน ในภูมิภาคอาเซียน ที่กำลังร้อนแรงจากการเคลื่อนไหวของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ รัสเซีย และจีน หรอกหรือ
คงต้องจับตากันต่อไปว่า เมื่อ “โกเดค” เข้ามาประจำการ รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไร ประชาชนคนไทย จะมีท่าทีอย่างไร และในอนาคตจะถึงขั้นมีประชาชนลงถนนเพื่อประท้วง ทูตสหรัฐฯ คนนี้หรือไม่