xs
xsm
sm
md
lg

ใครกันแน่ที่ต้องกลับไปศึกษา “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” หาสาเหตุขึ้นค่าไฟ **“เสี่ยแด๊ก-ธนกร” กราฟการงานพุ่ง จำใจทิ้งตำแหน่งโทรโข่งคู่ใจ “บิ๊กตู่” หลัง “มาดามเดียร์” ไขก๊อก ส.ส.บัญชีรายชื่อ เปิดทางขึ้นทำเนียบผู้แทนฯ ประดับโปรไฟล์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคนคนปนข่าว




**ใครกันแน่ที่ต้องกลับไปศึกษา “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” หาสาเหตุขึ้นค่าไฟ


หงุดหงิดใส่สื่ออีกแล้ว นายกฯ “ลุงตู่” เมื่อโดนถามเรื่องการขึ้นราคาค่าไฟฟ้า เมื่อวานที่ผ่านมา แรกๆ ก็น้ำเสียงปกติดี บอกว่า การขึ้นค่าไฟเป็นอำนาจของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ซึ่งต้องให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. ไปพิจารณา เป็นกติกาและกฎหมาย ต้องมีการพิจารณาการขึ้นตามวงรอบทุก 4 เดือน รัฐบาลได้ให้หลักคิดไปแล้ว

แต่พอพูดไปพูดมา ก็โยงมาถึงการทำหน้าที่ของสื่อ ด้วยน้ำเสียงแดกดัน และสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจว่า “ทุกคนต้องเข้าใจนะ ไม่ใช่ไปพาดหัวข่าว ขึ้นเป็น 5 บาทแล้ว หรือ 4 บาทแล้ว มันขึ้นเป็นสตางค์ เข้าใจมั้ย เออ…อย่าไปเขียนอย่างนี้ให้คนมัน ให้เขาเข้าใจผิด นะ”

“แต่ผมก็โอเคหละ คือ มันขึ้นก็ต้องขึ้น มันขึ้นจากอะไรก็ต้องไปดูสาเหตุ ไปดูสาเหตุแห่งปัญหา นะ ไปศึกษาธรรมะซะบ้าง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค น่ะ ไปเรียนซะบ้าง ว่ามันเกิดจากอะไร แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร วิธีการแก้ปัญหาโน่น”

ผู้รู้เรื่องธรรมะ บอกมาว่า “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ก็คือ “อริยสัจ 4” หรือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ในพระพุทธศาสนา แต่ถ้าใครได้ฟังคำให้สัมภาษณ์สดๆ ของ “บิ๊กตู่” เมื่อวาน ก็พอจะอ่านน้ำเสียงได้ว่า นี่เป็นการจิกกัด ประชดประชันการทำหน้าที่ของบรรดาสื่อมวลชนต่างหาก ไม่น่าจะใช่คำพูดที่ออกมาจากปากผู้เป็นอริยะสักเท่าไหร่

ว่าแต่ที่ท่านนายกฯ บอกให้นักข่าวไปศึกษาธรรมะ ไปเรียนเรื่อง “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ซะบ้างนั้น มันก็มีเสียงกระซิบถามกลับไปว่า ตัวท่านเองเข้าใจธรรมะข้อนี้ดีหรือยัง และได้เอามาใช้แก้ปัญหาอะไรบ้างไหม

อย่างเรื่องค่าไฟฟ้า “ทุกข์” ก็คือ การขึ้นค่าไฟ ทำให้ชาวบ้านร้านค้า ประชาชนตาดำๆ ต้องเดือดร้อนหาเงินมาจ่ายค่าไฟเพิ่ม “สมุทัย” คือ สาเหตุที่ทำให้ต้องขึ้นค่าไฟ “นิโรธ” คือ การแก้สาเหตุที่ทำให้ต้องขึ้นค่าไฟ และ “มรรค” ก็คือ แนวปฏิบัติที่จะนำไปสู่การไม่ขึ้นค่าไฟ หรืออาจจะลดค่าไฟ เพื่อดับทุกข์ให้ชาวบ้าน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อยู่ในตำแหน่งนายกฯ เกือบจะครบ 8 ปี ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ว่าได้เข้าใจ “อริยสัจ 4” เรื่องค่าไฟหรือเปล่า ทำไมถึงดับทุกข์เรื่องค่าไฟให้ชาวบ้านไม่ได้

แต่ในขณะที่ชาวบ้านกำลังเดือดร้อนเรื่องค่าไฟที่พุ่งขึ้นไม่หยุด รัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งกลับมีกำไรอู้ฟู่ แจกโบนัสผู้บริหารและพนักงานกันทุกปี

มีคนแอบไปเปิดดูรายงานการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง พบว่า

“การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย” หรือ กฟผ. มีกำไรสะสมถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 388,660 ล้านบาท
“การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” หรือ PEA และบริษัทย่อย มีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรร ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 181,132 ล้านบาท
“การไฟฟ้านครหลวง” หรือ MEA มีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรร ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2564 จำนวน 100,178 ล้านบาท
คิดเป็นตัวเลขกลมๆ การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีกำไรสะสมรวมกันอยู่ประมาณ 670,000 ล้านบาท

กำไรของการไฟฟ้าสะสมท่วมหัวแบบนี้ ถ้าผู้นำประเทศเข้าใจหลัก “อริยสัจ 4” ก็น่าจะตาสว่างมองเห็น “นิโรธ” และ “มรรค” เพื่อดับทุกข์เรื่องค่าไฟฟ้าให้ชาวบ้านได้แล้ว

นี่ยังไม่ได้พูดถึงปัญหาอื่นๆ อย่างการทุจริต คอร์รัปชัน หรือความผิดพลาดทางนโยบาย เช่น การทำแผน PDP คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเกินจริง เพื่อลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มหาช่องกินผลประโยชน์ ที่ล้วนเป็นต้นเหตุให้ค่าไฟแพงทั้งสิ้น

แต่ปัญหาพวกนี้ก็ยังคาราคาซังอยู่ ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เมื่อความจริงมันเป็นอย่างนี้ แทนที่จะไล่ให้คนอื่นไปศึกษา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค “ลุงตู่” เองนั่นแหละที่ควรจะกลับไปเรียนเรื่องนี้เสียใหม่



**“เสี่ยแด๊ก-ธนกร” กราฟการงานพุ่ง จำใจทิ้งตำแหน่งโทรโข่งคู่ใจ “บิ๊กตู่” หลัง “มาดามเดียร์” ไขก๊อก ส.ส.บัญชีรายชื่อ เปิดทางขึ้นทำเนียบผู้แทนฯ ประดับโปรไฟล์

ทำเอาหนักอกหนักใจไม่น้อย รายของ “เสี่ยแด๊ก” ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จู่ๆ ส้มหล่นโครมเบ้อเริ่ม ได้โอกาสขึ้นทำเนียบผู้แทนราษฎร เป็น ส.ส.กับเขาซักที

วทันยา บุนนาค
หลัง “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค ตัดสินใจยื่นใบลาออก ทั้งจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ โดยให้เหตุผลว่า รับไม่ได้กับ “เกมการเมือง” ในสภา ที่ทำให้ไม่สามารถตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชนที่ฝากความหวังไว้ได้ แม้จะทำหน้าที่ ส.ส.อย่างสุดความสามารถ

ส่วนของ “มาดามเดียร์” นั้น รู้กันทั่วสภาแล้วว่า ใจไม่ได้อยู่กับ “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ มานานแล้ว

โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกลงโทษ จากกรณีนำ “ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์” ลงมติงดออกเสียง “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เมื่อครั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจปี 2564 โดยมีข่าวว่า มีการพูดคุยกับทั้ง “ค่ายสะตอ-ค่ายกุมาร” ในการทำงานการเมืองร่วมกันในอนาคต

ตามสไตล์ “สวยเลือกได้” รอบหน้ายังได้เห็น “มาดามเดียร์” โลดแล่นในถนนสายการเมืองแน่

กลับมาที่ “เสี่ยแด๊ก” ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 27 ที่หลังการเลือกตั้งปี 2562 แม้พรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ถึง 19 คน แต่ก็คงไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีโอกาสเลื่อนขึ้นมาเป็นผู้แทนฯ ในสมัยนี้

ทำไปทำมา ดันมีทั้งคนลาออก และขาดคุณสมบัติ กระทั่งส้มมาหล่นใส่ “เสี่ยแด๊ก” ที่วันนี้กินตำแหน่งโฆษกรัฐบาล เป็นขุนพลข้างกาย “นายกฯ ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หน้าตาเฉย

จนเข้าอิหรอบ “รักพี่ เสียดายน้อง” ติดเงื่อนไขสำคัญที่ว่า หากเป็น ส.ส. ก็ไม่สามารถเป็นข้าราชการการเมืองได้ ซึ่งตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นับเป็นข้าราชการการเมืองด้วย

หากจำกันได้ ช่วงตั้งรัฐบาลใหม่ “มาดามบิ๊กอาย” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ต้องยอมทิ้งตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 5 เพื่อมาเป็นโฆษกรัฐบาลมาแล้ว

ต้องยอมรับว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา เส้นทางการเมืองของ “เสี่ยแด๊ก” เป็นกราฟขาขึ้นมาตลอด แม้ในช่วงแรกจะดูกระท่อนกระแท่น ต้องดิ้นรนพอสมควรก็ตาม

ในฐานะหนึ่งในขุนพลของ “กลุ่มสามมิตร” ที่มี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ - สมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นโต้โผ เมื่อพลาดตำแหน่ง ส.ส. แล้วโควตาข้าราชการเมืองของกลุ่มสามมิตรไม่พอ

ก็เลยมากินโควตาส่วนกลางได้ไปเป็น เลขานุการ รมว.คลัง สมัย “อุตตม สาวนายน” อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมควบตำแหน่งโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กระทั่ง “อุตตม” ถูกบีบให้ลาออกจาก รมว.คลัง เมื่อช่วงเดือน ก.ค. 63 หลังถูก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้ามายึดเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปไม่นาน

ธนกร วังบุญคงชนะ
ทำเอา “เสี่ยแด๊ก” ต้องหลุดตำแหน่งไปด้วย แต่เคว้งคว้างอยู่ไม่นาน ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ลูกพี่ในกลุ่มสามมิตร
นั่งก้นยังไม่ทันร้อน ก็ได้รับความไว้วางใจจาก “นายกฯ ตู่” แต่งตั้งให้เป็น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 64 แทนที่ “เสี่ยเจม” อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกรัฐบาลคนเก่า ที่ขยับไปเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง
เอาเข้าจริงก่อนหน้านั้น 1 ปี ครั้งตั้ง “เสี่ยเจม” เป็นโฆษกรัฐบาล “เสี่ยแด๊ก” ก็มีชื่อเป็นแคนดิเดต แต่ก็วืดไป
ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีเต็ม ต้องยอมรับว่า บทบาท “โฆษกแด๊ก” ถือว่าเข้าตา “บิ๊กตู่” เป็นอย่างมาก ทั้งในมุมบู๊ ที่ฟาดฟันกับพรรคฝ่ายค้าน และม็อบต้านรัฐบาล แบบเก็บทุกเม็ด สวนทุกดอก หรือจะเป็นบทบุ๋น ตีปิ๊บผลงานนโยบายของรัฐบาล ชิงพื้นที่สื่อได้พอสมควร
สำคัญที่สุดบทบาท “ขุนพลข้างกายลุงตู่” กับภาพชินตาที่ต้องมี “เสี่ยแด๊ก” เป็นวอลเปเปอร์ เดินตามหลังนายกฯแทบทุกเฟรมยามออกสื่อ
ไม่แปลกที่เมื่อเก้าอี้ ส.ส.ลอยมากองตรงหน้า “เสี่ยแด๊ก” จึงออกอาการตัดสินใจลำบาก ใจหนึ่งก็ยังอยากอยู่ข้างกาย “บิ๊กตู่” อีกใจก็อยากเป็น ส.ส.อย่างที่ฝันไว้ หลังเคยลงสมัคร ส.ส.กทม. ในนามพรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อปี 2550 แต่สอบตก เช่นเดียวกับปี 2562 ที่ลำดับห่างไกลจะได้เข้าสภา
ซึ่ง “เสี่ยแด๊ก” ก็ยอมรับตรงๆ หลังรู้ว่า “มาดามเดียร์” ลาออกจาก ส.ส.และเลื่อนลำดับปาร์ตี้ลิสต์มาถึงตัวเองว่า “มันเป็นเส้นทางการเมืองที่ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ในการทำงานให้กับประชาชนในตำแหน่ง ส.ส.”
พร้อมทั้งขอบคุณผู้เกี่ยวข้องคล้ายกับการอำลาตำแหน่งโฆษกรัฐบาลด้วยว่า “ต้องขอขอบคุณ นายกฯ และรัฐมนตรีทุกท่านโดยเฉพาะ ท่านสมศักดิ์ (เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม) ท่านสุริยะ (จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม) และ ท่านอนุชา (นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) และรองโฆษกทั้ง 2 ท่าน รวมถึงสื่อมวลชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ผมพร้อมทำงานในทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ส่วนตำแหน่ง ส.ส.นั้น ก็พร้อมที่จะทำงาน ถ้าลำดับบัญชีรายชื่อถึง”
แถมยังหยอดคำหวานถึง “นายกฯ ตู่” หลังถูกนักข่าวแซวว่า มีอาการคล้ายน้ำตาคลอเบ้า ระหว่างให้สัมภาษณ์ โดย “เสี่ยแด๊ก” พูดเสียงสั่นเครือว่า “ผมซึ้งใจในน้ำใจของท่านนายกฯ มากกว่า เรื่องการทำงาน ท่านก็เมตตาผม และไว้วางใจผม … ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ผมรัก และเคารพตลอดไป”
แม้จะสวนทางกับคำแนะนำของ “สมศักดิ์” เจ้านายสุดเลิฟ ที่ว่า ให้เป็นโฆษกรัฐบาลอยู่ช่วยนายกฯ เพราะทำหน้าที่ได้ดี อีกทั้งเวลาของการจะเป็น ส.ส.เหลืออีกเพียง 6-7 เดือนก็ตาม

แต่ดูทรงแล้ว ใจ “เสี่ยแด๊ก” คงลอยไปอยู่ในสภาล่วงหน้าแล้ว
เอาว่า เตรียมเรียก “ส.ส.แด๊ก” ให้คุ้นปากได้เลย ส่วนใครจะมาเป็น “โทรโข่งรัฐบาล” ในช่วงโค้งสุดท้ายของ “รัฐบาลลุงตู่” ต้องติดตามกันต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น