“มาดามเดียร์” ทิ้งเก้าอี้ ส.ส.ขอลา พปชร.ลั่น หมดใจ เหตุสภาไม่เป็นที่พึ่งของ ปชช. ลั่น 1,168 วัน ทำหน้าที่ ส.ส. ดีที่สุดแล้ว ขอบคุณ “บิ๊กป้อม” เพื่อน ส.ส. พปชร. ที่ร่วมงานกัน เผย “ธนกร” เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส. แทน
วันนี้ (16 ส.ค.) น.ส.วทันยา บุนนาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว ว่า เมื่อสภาที่ควรเป็นที่พึ่งให้ประชาชน กลับเล่นเกมการเมือง ทำลายศรัทธาประชาชน ไม่สามารถตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชนที่ฝากความหวังให้ ส.ส.ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว ผู้แทนปวงชนก็ไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ เดียร์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอพิจารณาตัวเองตัดสินใจลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่และการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
น.ส.วทันยา กล่าวว่า จากวันแรกที่เดียร์ก้าวเข้ามาร่วมทำงานกับพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้อุดมการณ์ที่อยากเห็นประเทศไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่ประเทศเรามีต้นทุนที่ดี เป็นแหล่งในการผลิตอาหารของโลก มีภาคการเงินที่เข้มแข็ง เอกชนที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง แต่ทว่า ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เรากลับติดหล่มปัญหาทางการเมืองจากความขัดแย้งภายในประเทศ การพัฒนาประเทศจึงเป็นไปได้ช้าและยากเพราะเหตุจากการขาดเสถียรภาพทางการเมืองของเราเอง
น.ส.วทันยา กล่าวว่า ภายหลังจากที่กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้ ประเทศไทยกลับเข้าสู่บรรยากาศนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง แม้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 จะมีเนื้อหาบางส่วนที่กลายเป็นข้อถกเถียงสำหรับผู้คนในสังคม กระทั่งหลายคนออกมาวิจารณ์ถึงการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประเทศช่วงเวลานั้น ก็คือ
“อำนาจสูงสุดกำลังเริ่มต้นนับหนึ่งกลับคืนสู่มือของประชาชนอีกครั้ง” เสียงของประชาชนที่เคยแผ่วเบาลงไปในช่วงเวลาหนึ่งกำลังจะกลับมาดังขึ้น โดยเฉพาะในวันที่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจกากบาทเลือก ส.ส.ที่เข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้แทนของตนเอง แม้กติกาจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแต่ “เดียร์ยังคงศรัทธาและเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่สุดท้ายแล้วจะสามารถคัดกรอง พร้อมทั้งสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นได้ในที่สุด” และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เดียร์ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐด้วยการลงสมัครเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 19 เพื่อสร้างพรรคทางเลือกใหม่ให้ประชาชน ออกจากวังวนของความขัดแย้งระหว่างพรรคใหญ่ 2 ขั้วเดิม” น.ส.วทันยา กล่าว
น.ส.วทันยา กล่าวว่า ทว่า นับตั้งแต่วันแรกของการเปิดประชุมรัฐสภา 22 พฤษภาคม 2562 จนกระทั่งวันนี้ 16 สิงหาคม 2565 ครบรอบการทำงานของสภา 3 ปีเต็ม เข้าสู่ปีสุดท้ายตามวาระของรัฐบาล ตลอดช่วงระยะกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ภายใต้บริบทการเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง การต่อสู้ทางความคิดหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งบนถนนและในรัฐสภา ที่สุดท้ายแล้วทุกฝ่ายก็ต่างใช้เวทีรัฐสภาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุดมการณ์ของตน ดังที่เกิดการนำเสนอรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเข้าสู่กระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติ การอภิปราย วิพากษ์การทำงานของรัฐบาลทั้งในยามสถานการณ์ฉุกเฉิน และสถานการณ์ปกติผ่านการทำงานของ ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเกิดข้อพิพาท ถกเถียงอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ดำรงเห็นได้ชัดเจน คือ “การใช้เวทีรัฐสภาเป็นเครื่องมือและที่พึ่งให้แก่ประชาชน”
น.ส.วทันยา กล่าวว่า สิ่งที่หน้าเศร้าใจ ก็คือ เหตุการณ์การประชุมร่วมของรัฐสภาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา เมื่อวานนี้ ที่ปรากฏให้เห็นชัดว่า การทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนของ ส.ส. ที่ถือเป็นหลักพึงกระทำพื้นฐานในฐานะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ไม่สามารถสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้เหมือนเดิม ทั้งนี้ เดียร์เคารพในสิทธิการตัดสินใจของ ส.ส. ทุกท่าน ไม่ว่าจะหาร 100 หรือ 500 การเห็นต่างย่อมเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในครรลองระบอบประชาธิปไตย และนั่นก็นับเป็นข้อดีของระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้นำเสนอความคิดเพื่อร่วมกันหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศ แต่ไม่ว่าจะมีความเห็นอย่างไร เดียร์ยังคงยึดมั่นในหลักการทำหน้าที่บนความถูกต้อง โดยการใช้สภาเป็นทางออกเพื่อให้ได้ข้อยุติของปัญหา
น.ส.วทันยา กล่าวว่า ตลอดการปฏิบัติงาน 1,168 วัน ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้หลายครั้งการทำหน้าที่ ส.ส.ของเดียร์จะมีความเห็นทั้งที่ไปในแนวทางเห็นด้วยและเห็นต่างจากพรรคพลังประชารัฐตามที่ปรากฏเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว แต่เดียร์เองก็ยึดมั่นในการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนผ่านกลไกรัฐสภาด้วยการใช้เอกสิทธิ์การลงคะแนนเสียง รวมถึงการอภิปรายเพื่อเสนอแนะข้อคิดเห็นไปยังรัฐบาลผ่านการทำงานในระบบรัฐสภามาโดยตลอด จนทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์การทำงานต่างๆมากมาย ซึ่งตัวเดียร์ขอน้อมรับทุกความเห็นเพื่อนำไปใช้แก้ไข ปรับปรุงการทำงานของตนเองต่อไป
น.ส.วทันยา กล่าวต่อว่า ในส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวานนี้ ที่ทำให้ประชาชนเกิดข้อกังขาว่ารัฐสภายังคงเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชนได้อยู่หรือไม่? ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงไม่อาจปฏิเสธถึงข้อกังขาศรัทธาประชาชนที่มีต่อรัฐสภา ไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นฝ่ายไหนหรือสังกัดพรรคใด เมื่อสภาไม่สามารถตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชนที่ฝากความหวังให้ ส.ส.ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว ผู้แทนประชาชนก็ไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ
“สุดท้ายนี้เดียร์ตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมทั้งขอขอบพระคุณ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และคณะผู้บริหารพรรค ที่เปิดโอกาสการทำงานและให้ความเมตตามาโดยตลอด รวมถึงเพื่อนสมาชิก ส.ส.พรรคพลังประชารัฐและในสภาทุกๆ คน” น.ส.วทันยา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ ในช่วงเช้า น.ส.วทันยา ได้เข้ากราบลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประขารัฐ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง พล.อ.ประวิตร เข้าใจ และเป็นการลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ด้วยดี สำหรับลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ คิวถัดไปที่จะมาแทน ได้แก่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี