“อัษฎางค์” ยกกำเนิดวันแม่ 5 ประเทศ ฟาดปาก คนถาม... “ทำไมต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น” “ดร.นิว” ตอบ “ปิยบุตร” ข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯเลือนหายจากพื้นที่สาธารณะ จี้ ออกมาต่อสู้เอง ท้าดีเบตให้จบ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (13 ส.ค. 65) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ระบุว่า
“ทำไมต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น”
……………………………………………………………………
คำถามจากเด็กไทยที่ประกาศว่า ตนเองคือ คนรุ่นใหม่ที่มีความรอบรู้ เพราะมีเทคโนโลยีในการสืบค้นข้อมูลต่างๆ ได้ทั่วโลกได้ภายในพริบตา
แต่เด็กเหล่านี้กลับไม่เคยสืบค้นหาข้อมูลใดๆ เลย พวกเขาและเธอมักจะเสพข้อมูลเท็จที่กลุ่มคนไม่หวังดีป้อนให้ จนเกิดทัศนคติแปลกประหลาดต่างๆ นานา มากมาย
คำถามที่ว่า “ทำไมต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น” ย่อมเป็นคำถามที่มุ่งโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์แน่นอน เนื่องจากวันแม่แห่งชาติของไทยตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเด็กรุ่นใหม่กลุ่มนี้ถูกปลุกปั่นให้ต่อต้านสถาบันฯ ด้วยข้อมูลที่บั่นทอดสถาบันฯ ต่างๆ นานา เรื่อยมา
น่าแปลกใจว่า เด็กรุ่นใหม่ที่อวดตัวเองเหลือเกินว่ามีเทคโนโลยีในการสืบค้นข้อมูลความรู้ กลับไม่เคยรู้ว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็มีวันแม่ และ “ผู้คนทั่วโลกก็กำหนดวันพิเศษขึ้นเป็นวันแม่สากลหรือวันแม่แห่งชาติ เพื่อจะบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น”
วันแม่แห่งชาติ ไม่ได้มีเฉพาะที่เมืองไทย แต่มีอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ลองมาดูกันว่า วันแม่ของแต่ละประเทศคือวันใดและมีที่มาอย่างไร
……………………………………………………………………
ประเทศไทย
เดิมประเทศไทย มีการจัดงานวันแม่ โดยสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยกำหนดเป็นวันที่ 15 เมษายน ของทุกปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2493
ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ได้เปลี่ยนมาเป็นวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
……………………………………………………………………
ต้นกำเนิดวันแม่
มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่ชาวกรีกที่เฉลิมฉลองวันแม่ The Mother of the Gods
ประเทศอังกฤษ
ชาวอังกฤษเริ่มมีวันแม่ “Mothering Sunday” ในปี ค.ศ. 1960 สืบเนื่องมาจากพวกกรรมกรนำเค้กชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า The mothering cake นำกลับไปเยี่ยมมารดาของตน
“ทำไม (คนอังกฤษ) ต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น”
……………………………………………………………………
สหรัฐอเมริกา
วันแม่ของอเมริกา ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม วันแม่ในอเมริกา ก่อตั้งโดย แอนนา จาร์วิช เมื่อปี 1908 เนื่องจากการเสียชีวิตของคุณแม่ของแอนนา เธอจึงทำพิธีรำลึกที่ St Andrew’s Methodist Church พร้อมกับรณรงค์ให้ทุกคนยอมรับวันแม่เป็นวันสำคัญของชาติ
และในปี 1914 วู้ดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ตกลงกำหนดให้วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่อย่างเป็นทางการของสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญ วันแม่ของสหรัฐอเมริกายังถูกใช้เป็นวันแม่สากลของอีกหลายประเทศทั่วโลก
“ทำไม ความต้องการระลึกถึงบุญคุณของแม่ของคุณครูคนหนึ่งแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา
จึงกลายมาเป็นวันแม่ของชาวอเมริกัน และชาวโลก”
แม่ของคุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ทำประโยชน์อะไรต่อประชาชนอเมริกันและประชาคมโลก
“ทำไม (คนอเมริกัน) ต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น”
……………………………………………………………………
ประเทศญี่ปุ่น
ในญี่ปุ่น ปี 1931 องค์กร สตรีสูงสุดของญี่ปุ่นได้กำหนดให้วันที่ 6 มีนาคม ซึ่งเป็นวันฉลองพระราชสมภพ ของ พระราชินี คาโอรุ มาโคโตะ เป็น “วันแม่”
ต่อมาในปี 1937 ได้เปลี่ยนเป็นวันที่ 5 พฤษภาคม และหลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้อเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นก็ต้องเปลี่ยนวันแม่ตามสหรัฐอเมริกาในปี 1949 โดยมาจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่สองในเดือนพฤษภาคม
“ทำไม ความต้องการระลึกถึงบุญคุณของแม่ของคุณครูคนหนึ่งแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา
จึงกลายมาเป็นวันแม่ของชาวญี่ปุ่น”
“ทำไมต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น”
……………………………………………………………………
ประเทศฝรั่งเศส
วันแม่ของฝรั่งเศสเริ่มมาจากนโปเลียน ตั้งแต่ปี 1806 แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน กระทั่งในปี 1915 ที่มีการนำวัฒนธรรมฉลองวันแม่ของอเมริกามาใช้ในฝรั่งเศสโดยทหารสหรัฐฯ
“ทำไม ความต้องการระลึกถึงบุญคุณของแม่ของคุณครูคนหนึ่งแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา
จึงกลายมาเป็นวันแม่ของชาวฝรั่งเศส”
“ทำไมต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น”
……………………………………………………………………
อินเดีย
วันแม่ตรงกับวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา
“ทำไม ความต้องการระลึกถึงบุญคุณของแม่ของคุณครูคนหนึ่งแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา
จึงกลายมาเป็นวันแม่ของชาวอินเดีย”
“ทำไมต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น”
……………………………………………………………………
เริ่มต้นจาก….
“ความต้องการระลึกถึงบุญคุณของแม่ของคุณครูคนหนึ่งแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ในที่สุด กลายมาเป็นวันแม่แห่งชาติ ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้อย่างไร
“ทำไมต้องบอกรักแม่ตัวเอง ในวันเกิดของคนอื่น”
“น้องคนที่ตั้งคำถามนี้ หรือคนที่เห็นด้วยกับคำถามนี้ ช่วยตอบที”
ไดโนเสาร์แห่งศตวรรษที่ 21
นอกจากนี้ “อัษฎางค์” ยังแชร์โพสต์เฟซบุ๊กของ “ท่านใหม่” จุลเจิม ยุคล (11 สิงหาคม เวลา 17:50 น.) ที่ระบุว่า
“เด็กน้อยทั้งหลาย ที่นึกว่า พ่อแม่ ทำให้เราเกิดมา เพราะความสนุกสนานของพวกท่าน จึงต้องรับผิดชอบชีวิตพวกเขา คิดผิดคิดใหม่ได้ครับ กลับตัวกลับใจมาเป็นเด็กดีของแม่ และของประเทศชาติเถอะครับ
สุขสันต์วันแม่ครับ ขอให้เป็นลูกที่ดีของแม่ วันที่เราคลอดออกจากครรภ์ของแม่ ออกมาลืมตาดูโลก เป็นวันที่แม่เจ็บที่สุดในชีวิตของแม่วันหนึ่ง และในวันนั้นก็เป็นวันที่แม่ดีใจที่สุด ลืมความเจ็บปวดทั้งหลายที่ได้เห็นเรา ขอให้นึกถึงแม่มากๆ ขอให้นึกถึงบุญคุณของแม่ที่เลี้ยงเรามาจนถึงวันนี้ เรามีแม่อยู่คนเดียวที่รักเรา เสียสละเพื่อเรามาตลอดชีวิตของท่าน ขอให้รักแม่มากๆ เชื่อฟังแม่ รักแม่ครับ”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ระบุว่า “หมดตัวเล่นแล้ว ...ต้องนำเองนะ”
ทั้งยังแชร์โพสต์เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า
“ปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่รู้หรือว่าการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ผิดหลักวิชา จึงพังลงไปเอง
ไม่มีใครทำให้การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์หายไปหรอก หากแต่เป็นสิ่งที่ผิด จึงพังลงด้วยตัวของมันเอง เพราะไม่ได้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของชาติและความต้องการของปวงชน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการโกหกหลอกลวง บิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ผิดหลักวิชาตั้งแต่ข้อแรก
ผิดหลักวิชาตั้งแต่ข้อแรกที่จะให้ยกเลิกความคุ้มกันของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ เพราะแม้แต่ประเทศที่ปกครองในระบอบเดียวกันอย่างประเทศนอร์เวย์ ซึ่งได้ชื่อว่ามีดัชนีประชาธิปไตยสูงที่สุดในโลก ก็มีความคุ้มกันของพระมหากษัตริย์เป็นปกติอยู่ในรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน
เรื่องนี้แม้แต่โปรโมเตอร์คนสำคัญอย่าง นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ก็ยังไม่กล้าออกมาตอบ เพราะถ้าตอบเมื่อไหร่ก็เท่ากับยืนยันความผิดหลักวิชาดังกล่าว ประจานสุดยอดความกลวงและลวงโลก กลายเป็นความพินาศฉิบหายของลัทธิสามนิ้วในทันที ซึ่งจะพังครืนลงในชั่วพริบตา
ถ้า นายปิยบุตร คิดว่า การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็จงนำกระโปรงที่คลุมหัวตัวเองออกเสีย แล้วมาดีเบตกันให้มันจบๆ ดีกว่า #ให้มันจบที่รุ่นเรา ให้การบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์จบที่รุ่นเรา อย่าได้นำความเห็นผิดมาขัดขวางการสร้างประชาธิปไตยอีกต่อไป
การบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริ ย์จึงมีแต่จะถ่วงความเจริญทางประชาธิปไตย เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทรงวางรากฐานของระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น และเป็นกำลังของประชาชนในการสร้างประชาธิปไตยร่วมกันอย่างสันติ ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
#ราชประชาสมาสัยถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน #ข้อเดียว ดร.นิว”
แน่นอน, นี่ยอมไม่ใช่ความเห็นต่างธรรมดา หากแต่เป็นการ “ต่อต้านวันแม่” ของคนรุ่นใหม่ หรือ ขบวนการ 3 นิ้ว และความต้องการ “ปฏิรูปสถาบันฯ” ให้ได้ ของ “ปิยบุตร” โดยหวังให้กระแส “ปฏิรูปสถาบันฯ” กลายเป็นกระแสหลักในสังคมไทย นั่นหมายถึงอะไร คนไทยน่าจะเข้าใจดี
ที่น่าเศร้าก็คือ สิ่งที่พวกเขาต่อต้าน คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ เห็นว่า เป็นความดี เป็นสิ่งถูกต้อง และทั่วโลกยอมรับ
รวมถึงประเด็นปฏิรูปสถาบันฯที่เลือนหายไป เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้ และไม่เห็นด้วย แทนที่บางคนจะเห็นแก่ความสงบสุขของสังคม ที่ไม่ต้องมาสู้รบกับเรื่องนี้อีก จนมีเวลามากพอที่จะฟื้นฟูวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ของประเทศ กลับรู้สึกเสียดาย ที่ปลุกปั่นยุยงได้ไม่นาน และตัวเล่นเริ่มหมดไป
คำถามคือ สิ่งไหนกันที่เรียกว่า สู้เพื่อ “ประชาชน”?