ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ดรามามาตามน้ำ เมื่อกรุงโซลจมบาดาล สลิ่มไทยพาลแซะ “ชัชชาติ” ผู้ว่าฯกทม.
โอ้ละหนอเป็นไปได้ เกิดดรามาขนานหนักในโลกโซเชียลฯ ถึงขั้นทำให้แฮชแทกซ์ #น้ำท่วมเกาหลี ยืนหนึ่งในทวิตเตอร์ตลอดทั้งวัน
นอกจากภาพและคลิปน้ำท่วมพื้นที่ทางใต้ของกรุงโซลประเทศเกาหลี หลังจากมีฝนตกลงมาหนักในช่วงค่ำวันจันทร์ (8ส.ค.) ซึ่งถือเป็นการตกหนักสุดในรอบ 80 ปี ถูกส่งต่อทางโซเชียลฯเผยให้เห็นผลกระทบ รถยนต์ รถบัส และ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหลายแห่งจมบาดาล ทำให้ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 รายในกรุงโซล และอีก2 คนเสียชีวิตในจังหวัดคย็องกี ที่อยู่ติดกัน โดยในบรรดาผู้เสียชีวิตนั้น มีอยู่ 4 ราย เป็นผู้ติดอยู่ในอาคารต่างๆที่ถูกน้ำท่วม อีกคนโดนไฟดูด และอีกรายถูกพบอยู่ใต้เศษซากของป้ายรถเมล์ และอีกคนเสียชีวิตในเหตุดินถล่ม
ประชาชนชาวเน็ตไทยนิยมดรามาทั้งหลายก็ไม่รอช้าที่จะเข้ามาแซะ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”ผู้ว่าฯกทม. โพสต์ภาพน้ำท่วมสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเกาหลี ปลุก “ชัชชาติ” ว่ารู้หรือยัง กำลังวิ่งอยู่ หรือ เต้นอยู่ที่ไหนก็ให้รีบทำงานด้วย ขณะเดียวกัน แม้น้ำจะท่วมหนักแต่พอสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว ก็เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบกับกทม.ว่า “ชัชชาติ” จะบริหารจัดการทำได้อย่างเกาหลีหรือไม่
ร้อนถึง FC ของผู้ว่าฯฉายา “บุรุษผู้แข็งแกร่งสุดในปฐพี” ต้องออกมาตอบโต้ฝ่ายที่แซะ ชัชชาติ โดยเรียกอีกฝ่ายว่า “สลิ่ม” มีแต่สลิ่มเท่านั้นที่คิดได้แบบนี้ น้ำท่วมเกาหลี ก็โพสต์ด่าชัชชาติ กรุงโซลน้ำท่วม ลดเร็วกว่ากรุงเทพฯ ก็กล่าวโทษผู้ว่าฯ แต่ไม่โทษนิสัยมักง่ายในการทิ้งขยะของประชาชน ที่เป็นต้นเหตุทำให้น้ำระบายได้ช้า หรือตอกย้ำข้อความให้อีกฝ่าย ใจเย็นๆ นะสลิ่ม กรุงโซลไม่ได้อยู่ในความดูแลของ “ชัชชาติ”
เอาจริงๆดรามาที่เกิดขึ้น “ชัชชาติ”แรกเห็นข่าวน้ำท่วมเกาหลีก็ตกใจ ถึงกับบอกว่า “น้ำท่วมที่เกาหลีโหดมาก ตื่นขึ้นมาตกใจเห็นภาพนึกว่า น้ำท่วมกรุงเทพฯ เกาหลีเขาก็เก่งนะ น้ำลงเร็วมาก“
ต้องบอกว่า ที่ตอนนี้ชาวกทม. มีอารมณ์ร่วมกรณีน้ำท่วมที่เกาหลีมากเป็นพิเศษจนเกิดเป็นดรามาการเมืองพาลไปถึงการทำงานของผู้ว่าฯ เพราะประเทศไทยอยู่ในช่วงหน้าฝน โดยที่ กทม.ช่วงนี้ฝนตกชุก บางวันมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ซึ่งในแง่การเฝ้าระวัง “ชัชชาติ” บอกว่า มีความกังวลเรื่องน้ำเหนือเขื่อน ซึ่งตอนนี้มีความจุประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จึงสั่งให้ “รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล” รองผู้ว่าฯกทม. มอนิเตอร์น้ำเหนือเขื่อน ซึ่งกลัวว่า ในระยะยาวหากน้ำในเขื่อนเต็ม ประกอบกับถ้ามีมรสุมเข้ามาหลายลูกแล้วมีการปล่อยน้ำลงมา จะมีปัญหาหรือไม่
พร้อมกันนี้ ได้สั่งทำ “แดชบอร์ด” ที่สรุปภาพรวมสถานการณ์น้ำรวมถึงน้ำในเขื่อน เพื่อให้มองเห็นถึงปัญหา เป็นการเตรียมการระยะยาว ซึ่งต้องหารือกับหลายหน่วยงาน เพราะกทม.ไม่ได้เป็นผู้ควบคุม รวมถึงให้รวบรวมข้อมูลย้อนหลัง โดยนำสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เป็นตัวตั้งต้นเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้ เพื่อเตรียมตัวในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า
เอาเป็นว่า ระหว่างสลิ่มกับ FC ผู้ว่าฯ ดรามาการเมืองกันพอประมาณก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่า การเมืองดีแล้วน้ำไม่ท่วม อุทกภัยเป็นภัยพิบัติ เมื่อจะเกิดหรือ เกิดขึ้นแล้วอย่างกรุงโซล ก็ให้กำลังใจผู้ประสบภัยในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไป ช่วยกันคนละไม้ละมือดีกว่ามั้ย .
**“ลุงป้อม”เจตนาหลุดปากบอก “ลุงตู่” อยู่ต่ออีก 2 ปี หวังกลบกระแสหมดวาระ 8 ปี 23 ส.ค.นี้
เรื่องวาระ 8 ปี ของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เพราะ “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องคนดัง ได้ไปยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน และกกต. ขอให้พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า วาระ 8 ปีนั้นหมดลงเมื่อไรกันแน่ ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก็เตรียมไปร้องในวันที่ 17ส.ค.นี้ เช่นกัน
แน่นอนว่า ฝ่ายที่จ้องขับไล่ “ลุงตู่” ชี้เปรี้ยงว่าจะครบวาระในวันที่ 23 ส.ค.นี้แล้ว
วันวาน (9ส.ค.) ก่อนการประชุมครม. “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ปกติเวลาสื่อถามก็มักจะตอบว่า ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ หรือถามคำ ตอบคำ แต่เมื่อวานนี้คุยยาวเป็นพิเศษ
ทั้งเรื่องบอกว่าไม่ได้สั่งส.ส.ลูกพรรคทำสภาล่ม เพื่อให้กฎหมายเลือกตั้งสูตรหาร 500 ตกไป ... ส่วนกระแสข่าวที่ว่าไปดีลกับพรรคเพื่อไทย ก็บอกว่า ไม่มี ไม่รู้ แต่ก็ไม่ถึงกับปิดประตูตายเสียทีเดียว เพราะในอนาคตอาจจะจับมือกันก็ได้ แต่ต้องรอให้ผลการเลือกตั้งออกมาก่อน
แล้วก็มาถึงเรื่องที่ว่า “ลุงป้อม” จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่า ไม่ใช่ตนเอง เรื่องนี้อยู่ที่นายกฯ ถ้ายังไม่ครบ 8 ปี ก็ไปต่อ เมื่อครบแล้วค่อยว่ากันว่าจะเอาใคร ...และจังหวะนี้เองที่ “ลุงป้อม” หลุดปากว่า นายกฯจะอยู่ต่ออีก 2 ปี จนเป็นประเด็นว่าลุงป้อม พูดอย่างนี้ หรือมีอินไซด์
เรื่องวาระ 8 ปี นี้ กูรูด้านกฎหมายเห็นต่างกันเป็น 3 แบบ ขึ้นอยู่กับว่าจะเริ่มนับหนึ่งตอนไหน
แบบที่ 1 ถ้านับตั้งแต่ “ลุงตู่” ทำรัฐประหาร แล้วขึ้นเป็นนายกฯ ตามรธน.ชั่วคราว 2557 โดยมติของสนช.เมื่อ 24 ส.ค.57 ก็จะครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค.65 นี้
ส่วนคนที่ว่ายังไม่ครบ 8 ปีในวันที่ 23 ส.ค.นี้ เพราะว่าไม่อาจนับเป็นนายกฯที่มาตามกรอบมาตรา 158 ของรธน.ปี60 ได้ เพราะไม่ได้มาจาการเลือกกันในรัฐสภา ตามที่รธน.กำหนด
แบบที่ 2 เริ่มนับตั้งแต่วันที่ รธน.60 ใช้บังคับ คือวันที่ 6 เม.ย.60 ก็จะไปครบในวันที่ 5 เม.ย.68 ซึ่งก็คืออยู๋ได้อีก 2 ปี ตามที่ “ลุงป้อม” ว่า
แบบที่ 3 เริ่มนับตอนที่ “ลุงตู่” ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้งปี 62 เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.62 ก็จะไปครบ 8 ปีเอาวันที่ 8 มิ.ย.70
แต่อย่างว่า เรื่องกฎหมายมีการมองต่างมุมกันได้ ... ผู้ที่เห็นว่าต้องนับตาม แบบที่ 1 มีการอ้างถึงคำพูดของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีอยู่ในบันทึกการประชุมของคณะกรรมการ่างฯ ถึงเจตนารมณ์ของผู้ร่าง ว่า...
เมื่อพิจารณาบทเฉพาะกาล ในมาตรา 264 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก ตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความใน มาตรา 263 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย โดยอนุโลม”
เจตนารมณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แม้ “ลุงตู่” จะดำรงตำแหน่งนายกฯ อยู่ก่อนวันที่รธน.นี้ใช้บังคับ ก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าว รวมกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรธน.60 ได้ ซึ่งเมื่อนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องมีระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี
ส่วน“ลุงตู่”เมื่อฟัง “ลุงป้อม” บอกจะอยู่ได้อีก 2 ปีก็ใช่ว่าจะโล่งอกเสียทีเดียว สังเกตได้ว่า หลังการประชุมครม. ได้เรียก “วิษณุ เครืองาม” ไปหารืออยู่นานนับชั่วโมง เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ เพราะเรื่องนี้เมื่อไปถึงศาลรธน. เชื่อว่าใช้เวลาพิจารณาไม่นาน
ขณะที่เจตนารมณ์ของ“ลุงตู่”นั้น ชัดเจนว่า ต้องการไปต่อ แต่ต้องรอฟังศาลรัฐธรรมนูญ