สภาไม่รับหลักการร่างแก้ กม.ธปท. ปิดโอกาสใช้เวทีสภาให้ ธปท.จัดทำรายงานสภาพ ศก. การเงิน การคลัง วิเคราะห์สภาวะ ศก.ของประเทศต่อสภาเพื่อความโปร่งใส ทุก 4 ไตรมาส ผู้ว่าการ ธปท.แจงหวั่นลดความอิสระ กระทบความเชื่อมั่น ฉุดเครดิตเรทติ้งไทยลงฮวบ
วันนี้ (4 ส.ค.) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..พ.ศ. ...) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 เสนอโดย นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่คณะรัฐมนตรีได้รับไปพิจารณาก่อนรับหลักการ และได้เสนอกลับมาให้สภาพิจารณา
ทั้งนี้ ในร่างดังกล่าวมีหลักการ คือ เพื่อกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องจัดทำรายงานเปิดเผยสภาพเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง วิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งจัดทำแนวทางการดำเนินงานในอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย เสนอต่อรัฐสภา เหตุผลโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดให้รัฐสภา มีบทบาทหน้าที่ ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และธนาคารแห่งประเทศไทยมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินภารกิจ อันพึงเป็นงานของธนาคารกลางเพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงิน และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการดำเนินภารกิจจำต้องคำนึงถึงการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของทางรัฐบาล อันถือเป็นการบริหารราชการแผ่นดินโดยฝ่ายบริหาร ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แต่เนื่องจาก พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ปี 2485 มิได้กำหนดให้ ปท.ต้องรายงานเปิดเผยสภาพเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง วิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งจัดทำแนวทางการดำเนินงานในอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อรัฐสภาอันเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นตัวแทนของประชาชน ดังนั้น เพื่อให้รัฐสภาได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินและระบบสถาบันการเงินที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ขณะที่สาระสำคัญคือกำหนดในมาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 61/1 ใน พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย 2485 ว่าทุก 3 เดือนให้ ธปท. จัดทำรายงานเปิดเผยสภาพเศรษฐกิจ การเงิน การคลังวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และเศรษฐกิจโลก รวมทั้งจัดทำแนวทางการดำเนินงานในอำนาจหน้าที่ของ ธปท. เสนอต่อรัฐสภา เพื่อรายงานให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและที่ประชุมวุฒิสภาทราบ ทั้งนี้ ให้จัดทำรายงานภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ 31 มีนาคม วันที่ 30 มิถุนายน วันที่ 30 กันยายน และวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี” โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
นายพิสิฐกล่าวรายงานว่า เรามีหน้าที่ดูกฎหมายไม่มีบทบาทหน้าที่กำหนดนโยบายโดยตรง ในรัฐธรรมนูญก็บัญญัติให้หน่วยงานอิสระตางๆ มาชี้แจงต่อสภาในรูปแบบต่างๆ ต่อสภาเพื่อศึกษาและเสนอความเห็นต่อไป ซึ่ง ธปท.เป็นองค์กรอิสระที่ได้รับการยอมรับ งบดุล 6.2 พันล้านล้านบาท ใหญ่กว่าธนาคารเอสเอ็มอี หรือ เอ็กซิมแบงก์ หลายร้อย สองเท่าของงบประมาณแผ่นดิน ดังนั้น จึงมีบทบาทสูงมากในการดูแลการไหลเวียนของเงินในทางเศรษฐกิจ ซึ่งกฎหมาย ธปท.ฉบับที่4 ระบุชัดว่า มีความเป็นอิสระแต่ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแล ดังนั้น เมื่อเราถามรายละเอียดกับกระทรวงการคลังจึงไม่ทราบเพราะเป็นเพียงผู้กำกับธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น กฎหมายใหม่ๆ จึงระบุให้องค์กรอิสระต่างๆ ต้องมารายงานให้รับทราบ โดยใครจะไปก้าวก่ายแทรกแซงไม่ได้ จะมีความผิดหากมีการละเมิดเกิดขึ้น
ส่วนที่กฤษฎีกาเขียนมาว่า ธปท.ออกแบบไว้ให้อยู่ในการควบคุมของฝ่ายบริหารก็เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับประเด็นที่เขียนไว้ในกฎหมาย โดยเฉพาะหมายเหตุที่เขียนว่า ธปท.รับผิดชอบต่อฝ่ายบริหาร โดยไม่บอกว่ารับผิดชอบต่อสภาด้วย เราจะทราบดีว่าไม่เคยปรากฏว่า รัฐบาลมาชี้แจงอะไรแทน ธปท. จึงต้องใช้วิธีเชิญเจ้าหน้าที่ ธปท.มาชี้แจงในคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ แทน แต่ข้อมูลไม่ได้เข้าถึงประชาชน ทำให้ประเทศมีความอ่อนด้อยต่อเรื่องการเงิน ประชาชนไม่ค่อยรู้เรื่อง เป็นหนี้เป็นสินมากมาย ไม่รู้จักที่จะคำนวณอัตราดอกเบี้ยทบต้น
“ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลให้ความรู้ต่างๆ ในข้อมูลเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในยุคใหม่ที่ต้องการความโปร่งใสดังนั้นตนจึงเสนอให้ธปท.มารายงานต่อสภา ส่วนรายงานอย่างไรก็ให้กรรมิการกำหนดร่วมกับ ธปท.ต่อไป โดยหลักๆคือให้มีการยึดโยงกันระหว่างการทำงานขององค์กรอิสระ ได้มีโอกาสใช้เวทีของสภานี้พูดจากับประชาชนทั้งประเทศ”
ตนเชื่อว่า การทำงานของ ธปท.มีความซับซ้อน และละเอียดมาก มันซับซ้อนยากที่คนทั่วไปจะเข้าถึง เช่น ที่ผ่านมา มีการประสานงานกับไอเอ็มเอฟและมีการรายงานข้อมูลส่งไปทั่วโลก ทุกประเทศได้รับข้อมูลของประเทศไทยหมด ธปท.มีข้อมูลเต็มที่และเปิดเผยอยู่แล้ว เพียงแต่ช่องทางเข้าหาประชาชนระดับรากหญ้ายังน้อยอยู่ ส่วนเรื่องความเป็นกลาง และความเป็นอิสระก็มีการรองรับไว้ทั้งใน พ.ร.บ.แบงก์ชาติ และ รธน.ที่ห้ามเข้าไปก้าวก่าย ดังนั้น ที่ห่วงเรื่องจะมีการแทรกแซงนั้นตัดไปได้เลย แต่จะได้รับการประกันมากขึ้น หากมายึดโยงกับสภา เพราะเราจะเป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบว่าการทำงานนั้นเหมาะสมหรือไม่ เช่นการที่จะดำเนินการนโยบายการเงินโดยมีเป้าหมาย วิธีการ ขณะที่รัฐบาลก็มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอยากจะปล่อยหรืออัดฉีดเงิน หลายประเทศที่ล่มจมก็มาจากตรงนี้คือรับบาลไปบีบแบงค์ชาติให้เอาเงินมาใช้จ่าย ทำให้เกิดเงินเฟ้อ แม้จะโชคดีที่ธปท.เรายังเหนียวแน่นไม่ทำแบบนี้ แต่ในอนาคตเราก็ไม่อยากให้มีชองโหว่เกิดขึ้น การมารายงานในสภาเป็นระยะจะเป็นการทำให้เกิดความสว่างขึ้นมาว่าจะทำอะไรที่ผิดแปลกไปไม่ได้เพราะมีสภาตรวจสอบอยู่ อีกทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วก็มีการทำรูปแบบนี้
ทั้งนี้ สมาชิกได้อภิปรายแสดงความเห็นสนับสนุน อาทิ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เห็นด้วย ยกตัวอย่างปัญหาคอลเซนเตอร์ผีที่ตนเสนอให้ ธปท.ประกาศให้ธนาคารพาณิชย์แช่แข็งเงินในระบบฉ้อโกงชั่วคราวเพื่อไม่ให้ปลายทางเอาเงินออกได้ ดีกว่ามาไล่จับแบบบ้าๆ บอๆ อยู่ทุกวันนี้ แต่ ธปท.ก็เฉยๆ ไม่เดือดร้อนกับประชาชนเพราะเป็นอิสระ การดำเนินงานที่ ธปท.ต้องทำให้สอดคล้องนโยบายของภาครัฐ กู้เงินมายาวนานเพราะหาเงินไม่เป็น กู้มา 10 ล้านล้าน เสียดอกเบี้ยมากมาย ระบบการเงินทั้งหมด ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องรายงานเราเรียกมาถามก็อ้ำอึ้งไม่มีชัดเจน กฎหมายฉบับนี้ดีมาก แต่ควรให้มารายงานทุก 6 เดือน เพราะขนาดให้รายงานการปฏิรูปประเทศมาทุก 3 เดือน ยังทำไม่ทัน
นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่าการมารายงานต่อสภา คือ หนึ่งในกลไกที่เพิ่มการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ เพราะ ธปท.เป็นหน่วยงานรัฐที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนผ่านระบบการเงิน ดังนั้นการรายงานไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรเพราะอำนาจหน้าที่ยังเป็นของธปท.อยู่ดี ไม่ใช่ทำงานไม่ดี หรือมีข้อบกพร่อง แต่ประชาชนเรียกร้องอยากให้ทำงานให้ดี เร็ว และต้องมีการบูรณาการมากกว่านี้ การมารายงานต่อสภาทำให้มีโอกาสรับฟังความคิดเห็น ปัญหาและความต้องการมากขึ้นเพื่อนำไปตัดสินใจต่อได้
นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า หลังจาก ครม.ได้พิจารณาแล้วได้มอบหมายให้กฤษฏีกาเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุม มีความเห็นว่าการเสนอให้ ธปท.จัดทำรายงานต่อสภาและวุฒิสภาทราบทุก 3 เดือนนั้น ปัจจุบันทาง ธปท.มีการเผยแพร่รายงานข้อมูลต่างๆ ให้สาธารณชนได้รับทราบ และเข้าถึงสะดวกอยู่แล้ว หากสภาหรือวุฒิสภามีข้อสงสัยเกี่ยวกับเศรษฐกิจหรือนโยบายในการดำเนินงานของธปท.ก็สามารถตั้งกระทู้ถาม หรือผ่านช่องทางคณะกรรมาธิการได้ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขตามที่สมาชิกเสนอ
ด้าน นายเศรษฐพูฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.ชี้แจงว่า ธปท.ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจมาอย่างต่อเนื่องและชัดเจน ครบถ้วนกับกลุ่มฝ่ายบริหารทั้งรายเดือน ราย 6 เดือน เช่น สภาวะเศรษฐกิจและการเงิน ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน โดยเปิดเผยสาธารณชนต่อเนื่อง แต่ก็ยอมรับเรื่องการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน โดยจะพยายามทำรายงานในภาษาให้เข้าใจง่ายกว่านี้ และยังทำรายงานผ่านกรรมาธิการต่างๆ อย่างต่อเนื่องและตรงประเด็น รับฟังความเห็นที่ตรงจุดและเป็นประโยชน์
ขณะที่หน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการเงินที่คล้ายกับ ธปท. ก็มีกฎหมายให้รายงานผลการดำเนินงานต่อฝ่ายบริหารไม่ต้องรายงานกับฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนกรณีเอสเอ็มอีแบงก์ และ เอ็กซิมแบงก์ ที่ต้องรายงานต่อสภาเพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดช่องทางอื่นในการเผยแพร่ สิ่งที่ ธปท.ทำสอดคล้องกับหลักการของต่างประเทศหลักๆ ในเรื่องความรับผิดชอบ คือ ฝ่ายไหนมีอำนาจหน้าที่แต่งตั้ง และถอดถอนการรายงานก็จะผ่านช่องทางนั้น เช่น ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ที่รายงานต่อสภาโดยผ่านกรรมาธิการ เพราะเขาได้รับการแต่งตั้งมาจากวุฒิสภา และ มีเพียง6 ประเทศที่รายงานต่อสภาโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะการรายงานแนวทางการดำเนินงานต่อสภาอาจนำไปสู่การกดดันการทำงานของธปท.ในฐานะธนาคารกลาง ที่ต้องอาศัยความเชื่อมั่นจากความเป็นอิสระในการดำเนินงานที่ผ่านการหารือกับกระทรวงการคลังและได้รับความเห็นชอบจาก ครม. และต้องมีความชัดเจน
“การจะลดหรือทำให้คนมองว่าอาจจะมีการลดความอิสระจะกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือต่อเครดิตเรตติ้งของประเทศ มีโอกาสที่จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสามารถสูงขึ้นเหมือนบางประเทศที่การเมืองเข้ามากดดันการทำงานของธนาคารกลาง เช่น ฮังการีที่แก้กฎหมายการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง และการดำเนินกิจการ ทำให้นักลงทุนกังวล มูสดีส์ ลดอันดับความน่าเชื่อถือจากน่าลงทุนได้เป็นไม่น่าลงทุน ทำต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐและเอกชนสูงขึ้นทันที หรือ อย่างอินโดนีเซียที่ให้มีการรายงานต่อสภาเหมือนกันนี้ ก็ทำให้นักลงทุนต่างประเทศกังวลต่อความเป็นอิสระต่อการทำงานของธนาคารกลาง สำหรับของไทยตอนนี้ของเราอยู่ในอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด เพราะมีความมั่นใจในกรอบการเงินการคลังของภาครัฐ แม้ท่านอาจจะไม่มีเจตนามากดดัน หรือแทรกแซงการทำงานของ ธปท. แต่ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนว่าเพียงการส่งสัญญาณหรือสร้างความกังวลที่อาจจะกดดันการทำงาน จะส่งผลต่อความเชื่อมั่น ดังนั้น เป็นความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจจะไม่พึงประสงค์ต่อการแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยรวมทั้งหมดจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ พ.ร.บ.ในตอนนี้”
หลังจากสมาชิกได้อภิปรายแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ที่ประชุมได้มีมติไม่รับหลักการวาระ 1 ด้วยคะแนนเสียง 49 เสียง ต่อ 203 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง