เดือดเหนือกว่า “อนุทิน”? ซัด “หมาแก่ดนัย” ไม่ควรนำคลิปงานสำคัญมาล้อเล่น “ต้องมีลิมิต” จี้ผู้บริหารช่อง 9 จัดการ “นิพิฏฐ์” นั่งคุย “สมคิด” แจงเหตุไม่ดีเบตการเมือง เสนอทางเลือก จะเอาขัดแย้งหรือแก้ปากท้อง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (1 ส.ค. 65) เว็บไซต์สถาบันทิศทางไทย โพสต์ประเด็น อนุทินซัดเดือดหมาแก่ดนัย ไม่ควรเอาคลิปงานสำคัญมาล้อเล่น ตอกต้องมีลิมิต จี้ผู้บริหารช่อง 9 จัดการ โดย yodtong
เนื้อหาระบุว่า จากที่เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2565 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมากล่าวถึงรายการทีวี ที่มีการกล่าวพาดพิง กรณีตนไปร่วมงานหนึ่ง
โดย นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นแฟนรายการ ภูมิใจไทยคงเจริญ แต่คนที่พูดคงไม่เจริญแล้ว เวลานำเสนอข่าว ต้องดูข้อมูลว่า เนื้อข่าวมาจากที่ใด เป็นงานอะไร ซึ่งงานในคลิปดังกล่าวเป็นงานครบรอบ 20 ปี โครงการทูบีนัมเบอร์วัน เป็นงานที่มีกำหนดการเป็นทางการชัดเจน การจัดกิจกรรมสร้างขวัญกำลังใจให้เด็ก และเยาวชน สะท้อนว่า ไม่มีช่องว่างระหว่างผู้ใหญ่ สร้างความสามัคคี โดยที่มีผู้ใหญ่ให้กำลังใจเด็กๆ
“งานที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้ (31 ก.ค. 65) เป็นงานที่มีคุณค่า ดังนั้น พิธีกรรายการทางการเมือง ไม่ควรเอาไปล้อเล่น เอาไปพูดว่า เอาข้าราชการมาเต้นแร้ง เต้นกา เพราะต้องสืบที่มาที่ไปของข่าวก่อน ไม่ใช่เอาคลิปแล้วมาเผยแพร่เช่นนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควร ซึ่งผู้บริหารจะต้องมีการตักเตือนว่า ต้องมีลิมิต จะแตะการเมืองได้ แต่ว่าบางเรื่องต้องรู้ว่า อะไรควร ไม่ควร พิธีกรระดับอาวุโส ที่มีคนฟังทั้งเมือง ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะสอนกันไม่ได้ ต้องสำนึกได้”
ขณะที่เพจ Ringside การเมือง ได้โพสต์แบนเนอร์พร้อมข้อความถึงกรณีดังกล่าวด้วยว่า เล่นไปไกล เล่นไม่รู้เรื่อง ล่าสุด “หมาแก่” นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ นักจัดรายการคนดัง ทำเรื่องใหญ่เสียแล้ว ก็ชนิดที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงกับก้าวข้ามความฉุนกึก พร้อมระเบิด มาเป็นความนิ่งสงบ เพราะเรื่องนี้ “ใหญ่” มาก
และต้องขอให้ ช่อง 9 ไปตรวจสอบพฤติกรรมหน่อย เพราะชักจะเล่นไม่รู้เรื่อง
เรื่องนี้ ว่ากันว่า ทำกันไปเพราะอคติบังตา จะล้อเล่นกับนายอนุทิน กับภาพการแสดงบนเวที ที่ผู้ใหญ่ กับเด็ก มาเต้นด้วยกัน
โดย “หมาแก่” มิรู้ เบื้องหน้า เบื้องหลัง และคุณค่าของงาน ที่สมควรปราศจากการเมือง
“ผมว่า ทาง ผอ.อสมท ต้องตักเตือน อย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง เรื่องการเมืองจะแตะ ก็แตะ แต่ต้องรู้ว่าอะไร ควร อะไรไม่ควร เป็นพิธีกรระดับนี้ มีความอาวุโส เรื่องนี้ สอนกันไม่ได้ ต้องสำนึก”
นายอนุทิน ถามหาจิตสำนึกหมาแก่ จากวีรกรรมล่าสุด
ขอบอกว่า เรื่องนี้ไม่ธรรมดา และไป “ไกล” กว่าคนชื่ออนุทินมาก
ผู้ใหญ่ใน อสมท นั่งไม่ติดแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ (7 ก.ค. 65) หมาแก่ กับ อนุทิน เคยมีกรณีกันมาก่อน กรณีวิจารณ์กัญชาเสรี
โดยมีรายงานข่าวว่า ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ดำเนินรายการโดย ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ พูดถึงการให้สัมภาษณ์ของนายอนุทิน ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT
โดย นายดนัย กล่าวว่า คุณอนุทิน (ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข) ด้วยความเคารพ ท่านรองนายกฯ ผมเข้าใจเป็นบทที่ต้องเล่น ไม่ว่าไม่โกรธ เจอหน้ายังยกมือไหว้ ยังคุยได้เหมือนเดิม วิจารณ์ชาวบ้านมาเยอะ ถูกวิจารณ์บ้างก็ต้องรับให้ได้ พร้อมยกมือไหว้ขอโทษ
กราบเรียนด้วยความเคารพ เมื่อพูดกัญชาแยกเป็น 3 ประเด็นดีไหม 1. กัญชาทางการแพทย์ 2. สร้างเศรษฐกิจด้วยกัญชา และ 3. กัญชาเสรีโดยที่ยังไม่มีมาตรการรองรับ
สิ่งที่เราพูดคือเราพูดถึงประเด็นที่ 3 ซึ่งหมายถึงการมวนกัญชาขายในที่เปิดเผย ด้วยความเคารพคนที่ออกมาติงเรื่องกัญชาเสรีจะสรุปว่าดูถูกภูมิปัญญาประชาชนอย่างนั้นหรือไม่ ต้องคิดกันเยอะๆ ที่เขาติติงติติงในประเด็นไหน
ทั้งนี้ เนื่องมาจาก นายอนุทิน รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ไปเปิดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 19 ระหว่างวันที่ 6-10 ก.ค. โดยตอนหนึ่ง กล่าวว่า มีสื่อโจมตีมาโดยตลอด ซึ่งมีแต่โง่แล้วอวดฉลาด แต่นี่โง่แล้วยังอวดโง่ ด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยความเบาปัญญา ก็ขอให้มาเที่ยวมหกรรมสมุนไพร ให้ได้ความรู้
เพราะการที่ไม่รู้แล้วพูดสื่อสารกับคนทั้งประเทศเป็นการกระทำที่เลวร้าย เป็นเวรกรรม ทั้งนี้ ก็ขอให้กล้ามาเที่ยวงานสมุนไพรแห่งชาติมาสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครอยากทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
ขณะเดียวกัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ระบุว่า
“พบกันเมื่อปลายเดือน ก.ค. 2565 ที่หาดใหญ่ จ.สงขลา ผมถามอาจารย์สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ว่า ทำไมอาจารย์ไม่พูดประเด็นการเมืองบ้าง อาจารย์ตอบว่า ตั้งแต่ผมอยู่กับคุณทักษิณและออกจากคุณทักษิณ จนกระทั่งมาทำงานด้านเศรษฐกิจให้พลเอกประยุทธ์ ในชีวิตผมไม่เคยพูดประเด็นการเมืองเลย ดังนั้นคนในประเทศนี้จะไม่จดจำผมในเรื่องการเมือง ผมตอบว่า ผมเห็นด้วย เพราะคนจดจำอาจารย์ในฐานะคนแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศนี้มากกว่า
ผมถามว่า ถ้าพรรคสร้างอนาคตไทย เสนอชื่ออาจารย์เป็นแคนดิเดตนายกฯ อาจารย์ก็ต้องออกไปดีเบตกับบรรดาว่าที่นายกรัฐมนตรีทุกคน อาจารย์ก็ต้องพูดการเมือง อาจารย์หัวเราะ แล้วโบกไม้ โบกมือตอบว่า ผมไม่ดีเบตกับใคร การพูดการเมืองมันต้องกระทบกระทั่งกันบ้างไม่มากก็น้อย ประเทศควรเลยเวลานั้นมาแล้ว ถ้าพรรคสร้างอนาคตไทย เสนอผมเป็นแคนดิเตต ผมก็ให้คนในพรรคออกไปดีเบตเอง ผมจะพูดบางเรื่อง-บางครั้ง-และบางเวลา เท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่จะไม่ไปดีเบตกับใคร
ผมถามว่า เอ้า! แล้วถ้าพรรคเสนออาจารย์ แล้วอาจารย์ไม่ดีเบต จะหาเสียงให้พรรคได้อย่างไร อาจารย์ตอบว่า “การเมืองเป็นเรื่องของความเชื่อ” ถ้าประชาชนเบื่อความขัดแย้ง ประชาชนกังวลเรื่องปากท้องของตนเองและลูกหลานในอนาคต เขาก็คงทิ้งปัญหาความขัดแย้ง มาเลือกพรรคการเมืองที่จะแก้ปัญหาปากท้องให้เขา อยู่ที่ประชาชนจะเชื่อใครว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
ผมถามว่า อาจารย์หนักใจเรื่องอะไรบ้าง อาจารย์ตอบว่า ประเทศนี้ มีคนที่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจริงๆ และไม่ฝักใฝ่การเมือง 4-5 คน นับว่าน้อยมากกับปัญหาเศรษฐกิจที่หนักขึ้นทุกวัน แล้วอาจารย์ก็นับนิ้ว เอ่ยชื่อคนเหล่านั้นมาให้ฟัง
อาจารย์ให้การบ้าน ว่า พรรคสร้างอนาคตไทย ต้องไปหาคำตอบให้ได้ว่า ครั้งหน้าประชาชนจะใช้ประเด็นใดในการตัดสินใจเลือกผู้แทนราษฎรของเขา จะเลือกตามประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองเหมือนในอดีต หรือจะเลือกประเด็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นี่คือทางสองแพร่ง นี่คือจุดแพ้-ชนะ ทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า”
แน่นอน, ประเด็น “อนุทิน” กับ “หมาแก่” ปมอาจเกิดจากเคยมีกรณีกันมาก่อน “เรื่องกัญชาเสรี” แล้วก็ตามมาเล่นต่อ จนเกิดเรื่องขึ้น และเรื่องที่ดูเหมือนงานเข้า “หมาแก่” ก็เพราะดันเอาคลิปงานสำคัญมาเป็นฉากล้อเล่นนั่นเอง
ส่วนเรื่องกัญชา ถือว่า เป็นจุดขายสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคภูมิใจไทย ที่ “อนุทิน” เฝ้าทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมมานานแล้ว เรื่องจึงเป็นเช่นนี้แล
อีกประเด็น กรณี “นิพิฏฐ์” พูดคุยกับ “สมคิด” ซึ่งคล้ายว่า เป็นการทยอยเปิดตัว “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยปล่อยออกมาในทำนองนี้
คือ เปิดโอกาสให้ “สมคิด” ได้พูดถึงกระแสที่มีคนพูดถึงตัวเอง ก่อนเสนอแนวคิด แนวทางการเมือง และการแก้ไขปัญหาประเทศ อันเท่ากับเป็นการใช้ “สมคิด” เป็นจุดขายให้กับพรรคไปด้วยในตัว
ครั้งนี้ก็เช่นกัน สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ “สมคิด” มองการดีเบตการเมือง เป็นเรื่องสร้างความขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่คือ การเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาประเทศและปากท้องประชาชน
อีกประเด็น “สมคิด” มองว่า การหาเสียงทางการเมือง ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันด้วย “วาทกรรม” ใครดีเบตเก่ง ก็ชนะ หากแต่อยู่ที่ความเชื่อมั่นว่าใครจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้
ที่สำคัญ ข้อคิดจาก “สมคิด” ก็คือ ตัวตัดสินชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจอยู่ที่ ประชาชนจะเลือกความขัดแย้ง อย่างที่เป็นอยู่ หรือเลือกแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง โดยก้าวข้ามความขัดแย้งไปให้ได้ ก็นับว่าน่าคิดไม่น้อย