ต้องมีคนอย่างเขา! ดร.แสงเทียน ให้กำลังใจ “ป๋าเทพ” กล้าพูดกล้าแสดงออกบนวิถีทางประชาธิปไตย ย้อนสมัย “ทักษิณ” ก็มีปรากฏการณ์ “สนธิ” เปิดโปงสิ่งที่คนไม่กล้า “บุ้ง-ใบปอ” อดอาหาร 59 วัน นานสุดทุบสถิติ “กวิ้น”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (31 ก.ค. 65) เว็บไซต์สถาบันทิศทางไทย โพสต์ประเด็น ดร.แสงเทียน ให้กำลังใจ “ป๋าเทพ” กล้าพูด กล้าแสดงออก บนวิถีทางประชาธิปไตยโดย กล้วยน้ำว้า
เนื้อหาระบุว่า จากกรณี ป๋าเทพ หรือ เทพ โพธิ์งาม นักแสดงตลกชั้นครูในวงการแสดงของประเทศไทย ออกมากล่าวถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์) สวนกระแสความนิยมในตัวผู้ว่าฯ ที่หลายสื่อพยายามปลุกปั้น
ล่าสุด รศ.ดร.แสงเทียน อยู่เถา ประธานยุทธศาสตร์วิจัยสถาบันทิศทางไทย ระบุว่า
“ก็ต้องให้ป๋าเทพเข้าใจสถานการณ์ในช่วงนี้ มันเป็นช่วง “ข้าวใหม่ปลามัน” การจะไปกล่าวถึงในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับกระแสต่างๆ ที่มีในช่วงนี้ก็อาจต้องทานกับเสียงด่าว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่นักข่าวที่กล่าวถึงป๋าเทพว่าไม่รู้อะไร หรือไม่เกี่ยวเพราะเป็นคนที่ไม่ได้ลงคะแนน หรือไม่ได้ดูตอนที่ท่านผู้ว่าฯ ทำงาน ดูสื่อจะทำตัวเป็นกระบอกเสียงแทนผู้ว่าฯอย่างเต็มที่
ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะย้อนไปถึงสมัยที่นักวิชาการหรือคนที่ไม่เห็นด้วยกับช่วงการขึ้นมาบริหารบ้านเมืองโดยการนำการตลาดและการประชาสัมพันธ์มานำหน้าการทำงาน เพื่อให้ผู้สนับสนุนเห็นว่ากำลังทำงานอย่างหนักในทุกๆ วัน ในช่วงนั้นการเห็นต่างจากแนวคิดของผู้นำที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นเรื่องต้องห้ามของสังคมไป
คนที่เริ่มมองเห็นว่าเป็นการประชาสัมพันธ์มากไป เช่น การจัดให้มี Reality ของผู้นำไปนอนพักค้างกับบ้านชาวบ้าน จะกินอะไร จะอาบน้ำอย่างไร ดูน่าสนใจ และดูเป็นการเข้าถึงผลงานของการมองเห็นค่าของคนรากหญ้าไปหมด นักวิชาการ หรือประชาชนคนที่วิพากษ์วิจารณ์คนไหนพูดไม่เยินยอ หรือไม่เห็นด้วยก็หาที่ยืนในสังคมลำบาก บางครั้งต้องอยู่อย่างลำบากแทบเอาชีวิตไม่รอดจากกระบวนการของลิ่วล้อรัฐบาล โดยเฉพาะความเป็นรัฐตำรวจในสมัยนั้น ในพื้นที่ที่มีการออกความคิดเห็นผ่านสื่อวิทยุชุมชน การกล่าวปราศรัยในงานเลี้ยง งานรวมกลุ่มต่างๆ ของชาวบ้านสุ่มเสี่ยงต่อคุกตะรางและถูกประณามจากสังคมอยู่ตลอดเวลา ลองย้อนกลับไปถามคนในสมัยนั้นดู ก็จะได้คำตอบชัดเจน จนกระทั่งมีคนกล้าพอจนทำให้เกิด “ปรากฏการณ์สนธิ” ในช่วงนั้น และตามมาด้วย การประท้วงเปิดโปงสิ่งที่ซุกอยู่หลังม่านประชาสัมพันธ์สร้างภาพพจน์อันสวยหรูมาอย่างยาวนาน จนหลายคนไม่ค่อยอยากไปฟื้นฝอยอะไรกับเรื่องนี้มากนัก
ครั้งนี้เกิดขึ้นกับคนที่เห็นต่าง ไม่เยินยอ ไม่ชอบใจ ไม่เห็นด้วย กับความเป็นไปในการออกสื่อต่างๆ ของผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครบ้าง โดยมีสื่อโทรทัศน์หลายช่อง ทั้งในระบบโทรทัศน์ช่องปกติ ในระบบช่องดาวเทียม หรือในระบบช่องออนไลน์ ต่างคอยเฝ้าช่องการไลฟ์สดของผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นข่าว ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นผลงาน การนำเสนอผ่านช่องทางต่างๆ ไม่แตกต่างจากช่วงที่มีการติดตามเรื่องของ “ลุงพล” หรือ “สอง พส.” ในช่วงที่ผ่านมาเลย การกล่าวไปในทิศทางที่ไม่ชื่นชม มองว่า ไม่มีผลงาน กลายเป็นคนที่ถูกมองว่า “เสือก” “ไม่มีสิทธิ์” “มัวแต่นอนไม่ดูตอนทำงาน” ฯลฯ
จึงไม่ได้แปลกใจที่จะเห็นคนเข้ามาต่อว่าป๋าเทพต่างๆ นานา เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีความคิดแบบป๋าเทพตัดสินใจที่จะเงียบดีกว่า แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการเมืองการปกครองมาหลายยุคหลายสมัยอย่างคนที่ชื่อ เทพ โพธิ์งาม คงมองอะไรได้ออกและดีพอสมควร และเป็นคนกล้าพอในทุกๆ เรื่อง ชัดเจนในทุกประเด็น เป็นคนทีน่าสนใจในความคิดความเห็นเวลาแสดงออกมาไม่น้อย
ขอเป็นส่วนหนึ่งที่ให้กำลังใจกับการกล้าคิด กล้าแสดงออก ในสิ่งที่ทวนกระแส กล้ากระตุกให้คนที่กำลังได้กับกระแสนิยมได้คิดในแง่มุมอื่นๆ ที่ไม่ได้มีแต่คนเยินยอบ้าง สิ่งที่ป๋าเทพกล้าทำนี้ มีแต่สิ่งที่ดีต่อคนกรุงเทพมหานคร ถ้าผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครจะทำให้เห็นแทนที่จะมาตอบโต้
แปลกไปมั้ย กับแนวคิดแบบนี้ที่ “ทีด่ารัฐบาล ก็คิดว่าเป็นคนที่มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ตามระบอบประชาธิปไตย แต่เวลามีคนพูดไม่ชอบใจผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ บ้างกลับหาว่าเขาเสือก นี่มันประชาธิปไตยแบบไหนกันหรือ…”
ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว “ป๋าเทพ” ก็เคยไลฟ์สดจวก “คนรุ่นใหม่” พร้อมชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ทำได้ดี” จนถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะโลกโซเชียลถึงขั้นขึ้นเทรนด์หลายแพลตฟอร์มเลยทีเดียว
การวิจารณ์ของ “ป๋าเทพ” มีทั้งฝ่ายที่โจมตี และฝ่ายที่เห็นด้วย จนทำให้ “ขนมเปี๊ยะขั้นเทพ” ของ “ป๋าเทพ” พลอยขายดีเป็นเทน้ำเทท่าตามไปด้วย
กระทั่ง มีการโจมตีอีกว่า กระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน บางรายโจมตีถึงขั้น “สกปรก” ก่อนที่อดีตตลกชื่อดังจะตอบโต้มีใจความสำคัญว่า “ชาวบ้านเค้ามาทำกัน ไม่ได้เป็นบริษัท” พร้อมปิดท้ายสุดพีก “กูอ่ะเศรษฐกิจพอเพียง”
กระนั้น “ป๋าเทพ” ยังคุยฟุ้งได้ว่า เจอดรามาแต่ยอดขายกลับพุ่งสูงทะลุเพดาน ยอดจองล่าสุดกว่า 5 แสนบาท...
https://www.springnews.co.th/news/813957
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา ได้แชร์โพสต์ของ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ระบุว่า
⚠️ บุ้ง-ใบปอ อดอาหารวันที่ 59 นานที่สุดในระลอกการเคลื่อนไหว 8 ปี ทุบสถิติ “เพนกวิน” ที่เคยอดอาหาร 58 วัน เมื่อครั้งถูกขังในปี 2564 ‼
และทั้งสองยังคงดำเนินการอดอาหารต่อไปขณะร่างกายวิกฤต เพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัว ในคดี ม.112 กรณี #ทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จฯ หลังถูกขังมาตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 2565 และยื่นขอประกันตัวมาแล้วถึง 8 ครั้ง (รวมการยื่นอุทธรณ์คำสั่งถอนประกันในคดีนี้)
30 ก.ค. 2565 “บุ้ง” เนติพร และ “ใบปอ” 2 ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 จากการทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จฯ ดำเนินการอดอาหารประท้วงเข้าสู่วันที่ 59 แล้ว นับว่า เป็นการการอดอาหารประท้วงที่ยาวนานที่สุดในระลอกการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย หลังเกิดรัฐประหาร ปี 2557
ทำลายสถิติ “#เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ก่อนหน้านี้ คือ ผู้ที่เคยอดอาหารประท้วงนานที่สุด ด้วยระยะเวลานานถึง 58 วัน ขณะถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อปี 2564
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขทำลายสถิติด้วยการอดอาหาร ประท้วง “59 วัน” ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีแต่อย่างใด เพราะทั้งสองยังคงดำเนินปฏิบัติการเรียกร้องความยุติธรรมและประท้วงกระบวนการยุติธรรมด้วยเครื่องมือนี้ต่อไปเรื่อยๆ ขณะร่างกายเผชิญอาการวิกฤตขนาดเป็นอันตรายถึงชีวิตอยู่ทุกนาที
🔴แพทย์ชี้ “บุ้ง” ภาวะโพแทสเซียมต่ำจนอาจกล้ามเนื้อหัวใจอาจตายได้ ปัจจุบันไร้เรี่ยวแรง สื่อสารช้าลง
ระหว่างการอดอาหารประท้วง บุ้งเคยอ่อนเพลียจนหมดสติไป และเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2565 เธอถูกหามส่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์กลางดึก โดยถูกแพทย์วินิจฉัยว่ามี “ภาวะโพแทสเซียมต่ำ” ซึ่งเป็นอันตรายขนาด #อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายได้
ไม่นานมานี้ บุ้งพบว่าตัวเองมี #อาการกระพุ้งแก้มลอก ลอกเป็นแผ่นทุกเช้า จนเธอต้องเอานิ้วเขี่ยออก คาดว่า น่าจะมาจากการขาดวิตามิน นอกจากนี้ ยังมีอาการปวดเมื่อยตามข้อ กล้ามเนื้อ และมีอาการอ่อนเพลีย
และอาการ ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา ทนายความเล่าว่า เธอมีอาการหอบหายใจแรงถี่ เนื้อตัวซูบผอมลงชัดเจน สื่อสารช้าลง และไร้เรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ เธอบอกว่าแค่หายใจ ก็เจ็บที่หัวใจแล้ว
🔴“ใบปอ” ตัวซีด เหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย ได้เพียงนอนให้เวลาผ่านไปวันๆ ขณะมหาวิทยาลัยจะเปิดสอนอีกครั้ง 8 ส.ค. นี้
ขณะเดียวกัน ใบปอก็เผชิญอาการอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง พูดตอบโต้ได้ช้าลงจากเดิมอย่างมาก บางครั้งมีอาการขาสั่น มือสั่น จากการเข้าเยี่ยมของทนายความล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2565 พบว่า ใบปออ่อนเพลียถึงกับขนาดไม่มีแรงเดินมาพูดคุยกับทนายผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ บุ้งบอกว่า #ใบปอตัวซีดมาก
และเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2565 ทนายพบว่า ใบปอมีอาการเหนื่อยอย่างมาก โดยเธอพยายามไม่ใช้พลังงานด้วยการนอนอยู่เฉยๆ นอกจากนี้ ยังมีอาการ #ท้องอืดอย่างรุนแรง ทำให้บางทีนอนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นนั่ง ขณะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เธอศึกษาอยู่จะเปิดทำการเรียนการสอนในวันที่ 8 ส.ค. 2565 นี้แล้ว
ทั้งสองเคยบอกว่า “แค่อยู่เฉยๆ ก็จะเป็นลมแล้ว” นอกจากนี้ ทั้งบุ้งและใบปอยังเผชิญอาการปวดแสบท้อง เวียนหัว และมีอาเจียนในบางครั้ง ตอนนี้เวลาส่วนใหญ่ในห้องขังพวกเธอพยายามนอนให้ได้มากที่สุด แม้จะไม่หลับก็ตาม เพราะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว
โดยตั้งแต่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมา ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 2565 บุ้งน้ำหนักตัวลดลงไปมากกว่า 15 กิโลกรัม ด้านใบปอน้ำหนักตัวลดลงไปมากกว่า 7 กิโลกรัม
⚠️ ‘59 วัน’ จะยังคงไม่ใช่ตัวเลขสุดท้ายในการอดอาหารประท้วงของทั้งสองคน ⚠️
.
‘59 วัน’ จะยังคงไม่ใช่ตัวเลขสุดท้ายในการอดอาหารประท้วงของทั้งสองคน ตราบใดที่ศาลยังไม่ให้สิทธิในการประกันตัวแก่ทั้งสอง วันเวลาจะผ่านไปเรื่อยๆ เป็นวันที่ 60, 61, 62 ... แม้หัวใจของพวกเขาจะสู้ไม่ถอย แต่สภาพร่างกายที่ขาดสารอาหารและพลังงานหล่อเลี้ยงจะยิ่งผุกร่อน จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
โดยเฉพาะพวกเขา #อดอาหารโดยประทังชีวิตเพียงน้ำเปล่าและเกลือแร่เท่านั้น
📌15 ผู้ต้องขังการเมืองอดอาหารประท้วง ในระลอกการเคลื่อนไหว 8 ปีนี้ 📌
(เรียงลำดับตามจำนวนวันที่อดอาหารมากไปน้อย)
1. “บุ้ง” เนติพร และ “ใบปอ” - อดอาหารเข้าสู่วันที่ 59 ตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. 2565 ถึงปัจจุบัน (และยังคงอดอาหารต่อไปเรื่อยๆ) *ปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
2. “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ - อดอาหาร 58 วัน (15 มี.ค.- 11 พ.ค. 2564)
3. “ฟ้า” พรหมศร วีระธรรมจารี - อดอาหาร 43 วัน (รวม 3 ครั้ง ได้แก่ 18 มี.ค.- 5 เม.ย. 2564, 26 เม.ย.- 10 พ.ค. 2564 และ 15 - 23 ส.ค. 2564)
4. “คิม” ธีรวิทย์ - อดอาหาร 39 วัน (18 มิ.ย.-26 ก.ค. 2565) *ปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หันมารับประทานอาหารวันละ 1 มื้อ
5. “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (31 มี.ค.- 6 พ.ค. 2564) และ “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (20 เม.ย.- 26 พ.ค. 2565 ) - ทั้งสองอดอาหารคนละ 37 วัน
6. “แฟรงค์” ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร - อดอาหาร 22 วัน (24 เม.ย.- 15 พ.ค. 2564)
7. “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง - อดอาหาร 20 วัน (5-24 พ.ค. 2565)
8. แซม สาแมท - อดอาหาร 15 วัน (รวม 2 ครั้ง ได้แก่ 15-23 ส.ค. 2564 และ 17-22 มิ.ย. 2565)
9. “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา - อดอาหาร 12 วัน (8-19 ส.ค. 2559)
10.“ฮิวโก้” สิริชัย นาถึง - อดอาหาร 9 วัน (15-23 ส.ค. 2564)
11. “ตี้” วรรณวลี ธรรมสัตยา - อดอาหาร 5 วัน (3-7 พ.ค. 2564)
12. พรชัย - อดอาหาร 4 วัน (26-29 มี.ค. 2564)
13. ทนายประเวศ ประภานุกูล - อดอาหาร 2 วัน (29-30 เม.ย. 2560)
แน่นอน, ประเด็นเกี่ยวกับ “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” นอกจากจะเป็นความต้องการของเจ้าตัว ที่ต้องการ “ไลฟ์สด” การทำงาน เพื่อให้ชาว กทม.และคนทั้งประเทศเห็นปัญหาและการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน ส่วนการวิ่งออกกำลังกาย เจ้าตัวอ้างว่า เป็นสไตล์ส่วนตัว ไม่ได้เบียดบังเวลางาน ก็ไม่ว่ากัน
เพียงแต่ที่ดู “โอเวอร์” นั้น ก็เพราะมีคนบางกลุ่มทำตัวเป็นเจ้าของ “ชัชชาติ” ซึ่งก็คือ กลุ่ม “3 นิ้ว” นั่นเอง เพราะถือว่า ชัยชนะของ “ชัชชาติ” เป็นชัยชนะของ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ดังนั้น การออกมาปกป้อง “ชัชชาติ” อวย “ชัชชาติ” และห้ามใครก็ตามแม้แต่ “3 นิ้ว” ด้วยกัน แตะต้อง “ชัชชาติ” เป็นอันขาด คือ สิ่งที่ “ป๋าเทพ” โดนทัวร์ลงอยู่ในเวลานี้ และไม่มีใครอยากยุ่ง นอกจาก “ป๋าเทพ”
ความจริง ก็คือ โจทก์เก่าของ “ป๋าเทพ” จากที่เคยวิจารณ์คนรุ่นใหม่เอาไว้นั่นเอง
กรณี “บุ้ง-ใบปอ” อดข้าวประท้วง “ศาลไม่ให้ประกันตัว” และถือว่า ทำลายสถิติ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชีวารักษ์ ไปแล้วนั้น
ประเด็นน่าจะอยู่ที่ต้องการประจานความโหดร้าย ใจร้ายใจดำ และ “อยุติธรรม” (อย่างที่ชอบหยิบยกมากล่าวหา) ของกระบวนการยุติธรรมไทย ที่ทำกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ผู้เห็นต่างกับผู้มีอำนาจ หรือ กลุ่ม 3 นิ้ว
ยิ่งไปกว่านั้น อาจเป็นการฟ้องโลก เพื่อกดดันผู้มีอำนาจของไทยไปในตัว
เพราะรู้ทั้งรู้ว่า การอดข้าวประท้วง ไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลในการให้ประกันตัว การจะให้ประกันตัวหรือไม่ ศาลจะต้องมั่นใจว่า จะไม่ทำผิดซ้ำ ไม่ก่อเหตุร้ายใหม่ ไม่หลบหนี และอื่นๆที่ศาลตั้งเงื่อนไข ที่ถ้ายอมรับเงื่อนไขของศาลได้ และมีผู้รับผิดชอบให้ศาลมั่นใจ ก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ประกัน อย่างที่ 3 นิ้วหลายคนได้ประกันไปแล้ว เรื่องก็มีแค่นี้เอง
ประเด็นก็คือ ถ้ายอมรับเงื่อนไขศาลแต่โดยดี ก็จะไม่มี “เงื่อนไข” ในการต่อสู้ และเรียกร้อง หรือไม่ นี่สิน่าคิดอย่างมาก