xs
xsm
sm
md
lg

ส่องดีล “บ้านใหญ่” สกัดครอบครัวแม้ว !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เนวิน ชิดชอบ-ผ่องศรี แซ่จึง-ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
เมืองไทย 360 องศา

แม้ว่านาทีนี้ ยังคาดเดาไม่ได้ว่าในที่สุดแล้วกฎหมายเลือกตั้งจะออกมาในแบบ สูตร “หารร้อย” หรือ “หารห้าร้อย” กันแน่ หรือย้อนกลับไปใช้การเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว เหมือนกับการเลือกตั้งปี 2562 หรือเปล่า เพราะยังไม่มีใครกล้าฟันธง ทุกอย่างมีโอกาสเกิดขึ้นได้หมด

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เห็นภาพชัดที่สุด ก็คือ ความพยายามในการให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบในสนามเลือกตั้งมากที่สุด รวมไปถึงต้องสกัดกั้นฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด

และสิ่งนั้นก็คือ ยุทธศาสตร์การ “ดีลบ้านใหญ่” เข้ามาร่วมพรรค ร่วมก๊วนให้มากที่สุด เพื่อสร้างหลักประกันและขยายเครือข่ายในพื้นที่เชื่อมต่อเป็นใยแมงมุม มีผลต่อการเพิ่มจำนวน ส.ส.เพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลคราวหน้า

ด้วยความเชื่อที่ว่า รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะบริหารจนครบเทอมถึงต้นปี 2566 ส่วนจะเลือกวิธียุบสภาก่อนถึงวาระไม่กี่เดือนหรือไม่ ก็ต้องมาว่ากันอีกที เนื่องจากเป็นเทคนิกทางการเมืองที่จะเลือกนำมาใช้

แต่เอาเป็นว่าสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ นาทีนี้ได้ผ่านจุดที่ “อยู่เหนือการควบคุม” มากที่สุดไปแล้ว หลังจากผ่านญัตติซักฟอก เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “วาระ 8 ปี” น่าจะเป็นเรื่องรอง และ “น่าจะผ่านไปได้” แม้จะต้องให้หวั่นไหวอยู่บ้างก็ตาม

เมื่อกลับมาที่ “บ้านใหญ่” ที่ตอนนี้ถือว่าเป็น “ยุทธศาสตร์” สำคัญที่บางพรรคกำลังนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการดีลแบบ “ควบรวม” เป็นพันธมิตร รวมไปถึงการ “รั้ง” หรือรักษาคนในบ้านใหญ่เอาไว้ในพรรคต่อไป ซึ่งแน่นอนว่า หากมองให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด ก็ต้องโฟกัสไปที่พรรคภูมิใจไทย รวมไปถึงพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องเน้นในเรื่องดังกล่าว

เริ่มจากพรรคภูมิใจไทยที่เห็นภาพชัดมากที่สุด หลังจากมีการดึงเอา“บ้านใหญ่” หรือครอบครัวการเมืองที่มีบารมีในระดับ “ขาใหญ่” ในจังหวัด หรือ “กลุ่มจังหวัด” มีคนในบ้านเป็น ส.ส.ประเภทผูกขาดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผานมา พรรคภูมิใจไทยก็สามารถดึงเอากลุ่มส.ส.ประเภทนี้เข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง ในแบบ “ยกจังหวัด” หลายจังหวัดมาแล้ว

ที่เพิ่งเห็นก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็ที่ จังหวัดศรีสะเกษ กรณีครอบครัว “แซ่จึง” ที่นำโดย นางผ่องศรี แซ่จึง จากพรรคเพื่อไทย และล่าสุด เกิดขึ้นที่จังหวัดพิจิตร ที่สามารถ “ควบรวม” เอาสองครอบครัวมาไว้ด้วยกัน นั่นคือ “ภัทรประสิทธิ์” กับ “ขจรประศาสน์”

รายงานข่าวระบุว่า ในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้ ระดับแกนนำพรรคภูมิใจไทย นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคจะยกขบวนใหญ่ไปทำการเปิดตัว 3 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิจิตร ของพรรคภูมิใจไทย ประกอบด้วย “ภัทรพงศ์ ภัทรประสิทธิ์” ที่เขต 1 “วินัย ภัทรประสิทธิ์” เขต 2 และ “ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์” เขต 3

งานนี้ “เสี่ยหนู” ได้คนของสองบ้านใหญ่เมืองพิจิตร ที่มีสัมพันธ์กันยาวนานมาร่วมพรรค เพราะ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เป็นพ่อของ “ลูกยอด” ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ คือ ผู้ชักนำ “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” เข้าสู่การเมือง จนได้ดิบได้ดี แม้ระยะหลังจะมีการเดินคนละเส้นทางบ้าง ตามวีถีการเมือง

ส่วน “วินัย ภัทรประสิทธิ์” นั้นเป็นน้องชายของ ประดิษฐ์ เป็นอดีต ส.ส.พิจิตร เขต 1 ในนามพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ช่วงปี 2551-2554 และก่อนหน้านั้น ช่วงปี 2549 ก็เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา

ขณะที่ “ภัทรพงศ์ ภัทรประสิทธิ์” นั้นเป็นหลานชายประดิษฐ์ เป็นกำนันตำบลหัวดง อ.เมืองพิจิตร โดยหลานชายคนนี้ เป็นลูกชายของ “ประวัติ ภัทรประสิทธิ์” พี่ชายของ “วินัย” และยังเกี่ยวดองเป็นหลานเขยของ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทยอีกด้วย

และ “ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์” ลูกชาย “เสธ.หนั่น” เข้าสู่การเมืองเมื่อปี 44 ได้เป็น ส.ส.ครั้งแรกด้วยอายุเพียง 28 ปี ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาได้ย้ายไปสังกัดพรรคมหาชน และพรรคชาติไทยพัฒนา เคยเป็น รมช.พาณิชย์ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์

เมื่อการเลือกตั้งคราวหน้า ส.ส.ระบบเขต ยังเป็นยุทธศาสตร์หลักที่พรรคภูมิใจไทย ได้เน้นมาตลอด จึงต้องมีการดึงเอาส.ส.เขต ประเภท “ดาวฤกษ์” ที่มีแสงในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากระแส หรือความนิยมจากแกนนำพรรคสังกัดมากนัก คนพวกนี้ก็ถูกดึงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังที่เห็น ตัวอย่างกรณี “งูเห่า” ในพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล หรือแม้แต่ในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ก็เกิดขึ้นไม่น้อย

สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ก็เป็นอีกพรรคที่ต้องเน้นในเรื่องนี้ แต่หากสังเกตให้ดี จะว่ามีรายละเอียดแตกต่างกัน เพราะจะพยายามรักษา “บ้านใหญ่” และ ส.ส.เขตคนเก่าเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะว่าไปแล้วก่อนการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พรรคสามารถใช้ “อิทธิพล” ของเครือข่ายอำนาจจนสามารถดึงเข้ามาได้จำนวนมาก ประกอบกับในตอนนั้น กระแสของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังแรง อีกทั้งยังเชื่อว่า “อำนาจยังไม่เปลี่ยนมือ” ทำให้กลายเป็น “แม่เหล็ก” ขนาดใหญ่ ดูดเข้ามาได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นแกนหลัก ได้จัดตั้งรัฐบาล

อย่างไรก็ดี เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป กระแสเริ่มลดลง แต่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิลุ้น เพราะถึงอย่างไรด้วยระยะเวลาที่ครองอำนาจรัฐมาอย่างต่อเนื่องระยะ 8 ปี สามารถวางเครือข่ายเอาไว้อย่างครอบคลุม และยังออกแบบกติกาไว้รองรับ จึงไม่อาจมองข้ามไปได้ อีกทั้งยังมวลชนสนับสนุนอยู่ไม่น้อย มันก็ยังเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ ส.ส.หลายคนยังตัดสินใจอยู่ที่เดิม และที่สำคัญยังมีหลักประกันในเรื่อง “กระสุน” ที่พร้อมเสิร์ฟเต็มกระเป๋า แม้ว่าจะมีบางคนไหลออก แต่ขณะเดียวกัน มันก็มีเดินสวนไหลเข้ามาเหมือนกัน

แน่นอนว่า นี่คือ ยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองที่คาดว่าจะต้องมีบทบาทสำคัญหลังการเลือกตั้งคราวหน้า และมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขณะเดียวกันยังเป็นการสกัดกั้นพรรคฝ่ายตรงข้าม ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึงพรรคเพื่อไทย และครอบครัวเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้กวาดแบบ “แลนด์สไลด์” เพราะการดีลบ้านใหญ่ และดูดส.ส.เขตเข้ามาเพิ่ม อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนการ “เตะตัดขา” จนอ่อนกำลังไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น