xs
xsm
sm
md
lg

“มัมมี่แม้ว” อมตะนิรันดร์กาล !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ  ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

เชื่อว่า หลายคนคงรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดล่าสุดของ “พี่โทนี่” หรือชื่อเรียกเดิมเมื่อครั้งอยู่เมืองไทย ว่า “แม้ว” ของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เขากล่าวกับบรรดาผู้สนับสนุน และคนในครอบครัวในโอกาสวันเกิดครบอายุ 73 ปี เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แม้ว่า เนื้อหาส่วนใหญ่จะกล่าวถึงความรู้สึก ความเข้าใจของตัวเอง ความฝันที่อยากกลับมาประเทศไทย รวมไปถึงการถูกกระทำ ถูกรังแก และยังอ้างเป็นความรู้ใหม่ ว่า เคยถูกลอบสังหารถึง 4 ครั้ง อยากกลับมาอยู่กับครอบครัว และที่ต้องจับตา ก็คือ “ความอยากเป็นอมตะ” พร้อมกับสั่งเสีย “ไม่ให้เผาศพ ให้เก็บร่างเอาไว้ตลอดไป”

อย่างไรก็ดี เพื่อทำความเข้าใจกับความรู้สึกและระบบคิดของ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ลองพิจารณาจากคำพูดที่ผ่านการตั้งคำถามโดยคนใกล้ชิดของเขา และมีลูกชาย คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นคนนำมาเผยแพร่ ดังนี้

“ผมทราบเรื่องของผมตั้งแต่เด็ก หลานคอยถามทำไมไม่กลับบ้านไปด้วย เด็กวัยนี้ฉลาดจำได้ทั้งหมด ผมถือว่าความสุขอยู่ที่บ้าน ทำให้กระชุ่มกระชวยมีกำลังในการต่อสู้”

ถามว่า มีแผลในใจบ้างหรือไม่ ที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า นายทักษิณ ตอบว่า ชีวิตที่ผ่านมา ความโง่มาก่อนความฉลาด ผู้ดำเนินรายการถามว่าตอนที่รู้สึกว่าตัวเองโง่คือตอนไหน นายทักษิณ กล่าวว่า ตนอาจจะโง่เรื่องคน เพราะเป็นคนบ้านนอก ชีวิตง่ายๆ พอมาอยู่ กทม. ชีวิตก้าวกระโดด ผ่านสังคม กทม.น้อยไป สังคมของอีลิทน้อยไป เราไม่อยู่ในสังคมอีลิท แม้ฐานะเราจะเป็นอีลิท แทนที่จะเข้าสังคมอีลิท แต่ไปเข้าการเมืองเลย กลายเป็นคนซื่อบื้อคนหนึ่ง เหมือนเราไม่รู้วิธีอยู่ในป่าแล้วถูกปล่อยเข้าไป บางอย่างใน yes มี no อยู่ซึ่งเราไม่เข้าใจ เพราะเราคิดว่าทุกคนจะเหมือนเรา แต่ชีวิตของคนอีลิทเขาซับซ้อน เป็นสิ่งที่ตนต้องเรียนรู้แต่ไม่คิดเรียนรู้แล้วแก่แล้ว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนไม่ได้เฮิร์ต แต่เสียดายตัวเองที่น่าจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองมากกว่านี้ ไม่เคยกลัวตาย ถูกลอบสังหารมา 4 รอบ แต่รู้สึกเฉยๆ เป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ยอมรับมันไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ รู้ว่าใครเป็นคนทำ เรื่องนี้ในครอบครัวรู้ เราไม่อยากให้เขาไปเจอคนที่ไม่คิดดีกับเรา เจอแล้วจะได้ระวังตัว

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อีก 20-30 ปี แคร์หรือไม่ที่วิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้าแล้วอาจไม่ทันเห็น นายทักษิณ กล่าวว่า แน่นอน ระหว่างที่เราอยู่ไม่รู้พระเจ้าจะเอาตัวเราไปเมื่อไร แต่ระหว่างที่อยู่ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนที่เรารัก และรักเรา สำหรับคนที่ไม่รักเราทำให้รักเรายาก แต่คนที่อยู่ตรงกลางก็อยากให้เขาเข้าใจ ทุกวันนี้ตนไม่ได้มีอะไรเลย เป็นคนที่อยู่เมืองนอกกลับประเทศก็ไม่ได้ แต่มีคนที่รัก เวลารักลูกก็อยากไม่ให้เขาลำบากเหมือนตน ตอนสร้างตัวเองทุกอย่างบีบคั้นโดยเฉพาะเรื่องการเงิน แต่ตนเป็นคนขอกำลังใจกับครอบครัวมาตลอด อย่างอยู่เมืองนอกต้องโทร.กลับบ้านทุกวัน โทร.หาลูก โทร.หาคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ นานๆ ก็ต้องคุยกับหลานกลัวหลานลืม

“การเมืองมันเป็น Zero Sum Game ถ้าเราสุขเขาจะทุกข์ ถ้าเราทุกข์เขาจะสุข ทำไมไปทุกข์เพื่อให้เขาสุข เราต้องสุขเพื่อให้เขาทุกข์ ถ้าเจอหน้าสัมภาษณ์ผมทีไร ดูผมไม่ทุกข์ 16 ปี แล้วนะ ไม่ทุกข์ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป คุณที่รักเราจะได้มีความสุขไปด้วย” นายทักษิณ กล่าว

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า เราอธิบายตัวเอง อธิบายครอบครัว อธิบายการเมืองหมดแล้ว เวลายืนมองกระจกกำลังเห็นใคร นายทักษิณ กล่าวว่า เห็นคุณหญิงพจมาน ตนสงสารคุณหญิงพจมาน ตนตัดสินใจกลับเมืองไทย เพราะว่าคุณหญิงพจมานรับภาระแทนตนไว้เยอะ สงสาร

เมื่อถามว่า มันจะถึงวันเปลี่ยนความรู้สึกสงสารออกจากใจได้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เมื่อตนกลับไปแล้ว ได้อยู่กับครอบครัวแล้วมันก็จบทุกอย่าง วันนั้นเมื่อตนกลับไปอยู่กับครอบครัวก็ต้องทำตัวให้แข็งแรง เพื่อชดเชยเวลาที่หายไป ใช้เทคโนโลยีช่วยเพื่อให้ตัวเองไม่บกพร่อง

เมื่อถามว่า ไม่ได้คาดหวังว่าหลานต้องต่อสู้ ไปเป็นผู้นำประเทศ นายทักษิณ ตอบว่า ไม่ เขาคิดเองเป็น เพียงแต่เราต้องการให้เราอยู่กับเขา รักและห่วงใยเขา มีกำลังใจเหมือนมีตาอยู่ด้วยตลอด

“ผมเองสั่งครอบครัว ตายไม่เผา ให้เก็บไว้ ให้เก็บร่างไว้ไม่ให้เผา นี่คือ สิ่งที่ผมต้องการให้การต่อสู้ของผม ให้ชีวิตผม เป็นอมตะของครอบครัวของลูกหลาน” นายทักษิณ ระบุ

หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหว และคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ล่าสุดข้างต้น แม้ว่าลักษณะการเคลื่อนไหวในแบบถี่ยิบมากจนผิดสังเกต แต่อีกด้านหนึ่งถ้ามองอย่างเข้าใจก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งเพราะใกล้เลือกตั้งมากขึ้นเท่าใด ก็คงต้องเร่งมือมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นที่รู้กันแล้วว่า ปีนี้เขาอายุครบ 73 ปีแล้ว ถือว่าเข้าสู่วัยชรา เปรียบเป็น “ไม้ใกล้ฝั่ง” เต็มที และที่สำคัญ ก็คือ ผ่านมากว่า 8 ปี ที่พรรคการเมืองของเขา รวมทั้งคนในครอบครัวเขาห่างหายจาก “อำนาจรัฐ” ไม่ได้เป็นรัฐบาลแบบต่อเนื่องนานมากแล้ว

ดังนั้น ทำให้หลายคนย่อมเข้าใจได้ไม่ยากว่าเขากำลัง “เดิมพันครั้งสุดท้าย” เพื่อให้พรรคการเมืองที่มีอิทธิพลอย่างสูงอย่างพรรคเพื่อไทยให้ชนะการเลือกตั้งรวมไปถึงผลักดันให้ “ทายาทสายตรง” คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก ที่เวลานี้รับหน้าที่เป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ และเจตนาที่เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ชัดเจน ก็คือ “พาพ่อกลับบ้าน” แต่ในความหมายที่ “กลับมาแบบเท่ๆ คือ ไม่ต้องติดคุก” ซึ่งก็คือการ “นิรโทษกรรม” นั่นเอง เนื่องจากเวลานี้ทั้งตัวนายทักษิณ และน้องสาว คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต และศาลได้ตัดสินจำคุก และยึดทรัพย์มาแล้ว

ที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร มั่นใจว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทย จะต้องชนะแบบ “แลนด์สไลด์” โดยคาดหมายว่าจะได้ ส.ส.มากกว่า 250 คนอย่างแน่นอน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่ในครั้งนั้นเขาพูดเมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากที่ทราบว่ามีการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งให้ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ และตอนนั้นมีการเลือกใช้ “สูตรหารร้อย”

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ล่าสุดทุกอย่างทำท่าจะเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม นอกจากมีการเปลี่ยนมาเป็น “สูตรหารห้าร้อย” แล้ว ยังมีแนวโน้มใหม่ นั่นคือ จะ “แท้งทั้งสองสูตร” แล้วกลับไปใช้แบบเดิม คือ “บัตรใบเดียว” เหมือนกับการเลือกตั้งปี 62 ที่พรรคเพื่อไทย ไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อสักคนเดียว

รวมไปถึงความเคลื่อนไหวกรณี “งูเห่า” ในพรรคที่ย้ายหนีออกไปเป็นพรวน ซึ่งมีทั้งเต็มใจหนี เนื่องจากอึดอัดกับสภาพครอบครัวที่ไม่อบอุ่นตามที่อ้าง หรือ “ถูกดูด” ออกไปแบบยกครัวในหลายจังหวัด

อย่างไรก็ดี สำหรับ นายทักษิณ แล้วนาทีนี้จำเป็นที่ต้องเคลื่อนไหวให้ถี่ยิบกว่าเดิม เพราะนี่คือ “โอกาสสุดท้าย” แล้วจริงๆ ทั้งด้วยวัยที่เหมือน “ไม้ใกล้ฝั่ง” และการเลือกตั้งครั้งนี้มันก็เหมือนกับการ “ดิ้นรน” รักษาสถานะเอาไว้ให้ได้ ก่อนที่จะถดถอยไปมากกว่านี้ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่เหมือนเดิม ฐานไม่แน่นเหมือนเดิม มวลชนแยกย้ายกระสานซ่านเซ็น ขณะที่บางคนหันกลับมาเป็นฝ่ายตรงข้ามสารพัด แต่ในภาพใหญ่ก็ยังถือว่ามี “พาวเวอร์” ไม่น้อย

เพราะหากเปรียบเทียบให้เห็นชัด ก็ลองเทียบบรรยากาศงานวันเกิดของเขาในปีนี้ ว่ามัน “เงียบเหงา” ลงไปเรื่อยๆ ทุกปี กลายเป็นการสังสรรค์ เล่าความหลังให้กำลังใจกันเองในครอบครัวและคนใกล้ชิดเท่านั้น แต่สำหรับนายทักษิณ แล้วอาจเป็นเพราะเขาอยู่ห่างไกล หรือการรับรู้ข้อมูลจริง และด้วยความสูงวัยที่อาจเป็นไปได้ว่า ทำให้เกิด “อาการหลงตัวเอง” ติดกับความยิ่งใหญ่ในอดีต ซึ่งมักเกิดขึ้นกับหลายคน

คำพูดที่บอกว่า “ผมอยากเป็นอมตะ” และสั่งเสียเอาไว้ว่าเมื่อตายไปแล้ว “ห้ามเผาให้เก็บร่างกายเอาไว้” ซึ่งหากเป็นแบบนั้นมันก็ต้อง “ดองศพ” หรือทำเป็น “มัมมี่” ในยุคโบราณเก็บเอาไว้ตลอดกาล แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับแรงผลักดันภายในที่ต้องการเป็น “อมตะ” ที่คิดว่าตัวเองต้องเป็นใหญ่ เป็นศูนย์กลาง ไม่มีทางจม อะไรประมาณนี้ ซึ่งถือว่าไปไกลมาก!!


กำลังโหลดความคิดเห็น