จริงหรือไม่? อดีตรองอธิการ มธ. จับพิรุธ “พิธา” ซักฟอกนายกฯ สอดรับ ว่าที่ทูตมะกันคนใหม่ เหมือนเป็นขบวนการ “หน.ส้ม” ประณาม “รบ.เมียนมา” ประหารชีวิตผู้นำ NLD - นักเคลื่อนไหว กูรูเตือน “ก๊าซฯพม่า” สุดสำคัญ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (25 ก.ค. 65) เว็บไซต์สถาบันทิศทางไทย โพสต์ประเด็น “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ? อดีตรองอธิการ มธ. จับพิรุธ “พิธา” ซักฟอกนายกฯ! สอดรับ ว่าที่ทูตมะกันคนใหม่ เหมือนร่วมวางแผน-ทำเป็นขบวนการ?” โดย เมลอน
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
นาย Robert F. Godec ซึ่งกำลังจะมาเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ ก่อนเดินทางมารับตำแหน่ง ว่า จะช่วยให้ประเทศไทยปรับปรุงในเรื่องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และจะให้ไทยร่วมกดดันเมียนมาด้วย เมื่อมีวุฒิสมาชิกตั้งกระทู้ถามเรื่องมาตรา 112 ที่ส่งผลถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และมีผู้ถูกจับกุมคุมขังมากมาย นาย Godec กล่าวว่า
สหรัฐฯให้ความเคารพต่อราชวงศ์ไทย และเข้าใจในความจงรักภักดีของคนไทยต่อราชวงศ์ แต่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเขาเคยเน้นย้ำต่อสาธารณะ และโดยส่วนตัวว่า ประชาชนจะแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องกลัวการถูกจับกุม และจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และยังกล่าวต่อไปว่า
“ผมขอย้ำว่า คนที่ถูกจับกุมจะต้องได้รับการปฏิบัติโดยเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ในระหว่างการดำเนินคดี”
นอกจากนี้ นาย Godec ยังกล่าวว่า จะกดดันให้ไทยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากพม่า และจะพยายามให้ไทยเพิ่มแรงกดดันต่อพม่า เพื่อหยุดการกระทำอันเหี้ยมโหดของรัฐบาลเมียนมา อีกด้วย
เพราะอะไรที่ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา แสดงความเห็นที่ค่อนข้างก้าวร้าว และแสดงเจตนาที่จะแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างเปิดเผย คงไม่ใช่เป็นการพูดโดยไม่ได้คิด ตรงข้าม น่าจะเป็นการเตรียมล่วงหน้าที่จะพูดเช่นนี้
โดยปกติ สถานทูตของสหรัฐอเมริกาในทุกประเทศย่อมมีการปฏิบัติการเพื่อกดดัน หรือชักจูงให้ประเทศนั้นๆ ดำเนินนโยบายตามที่รัฐบาลสหรัฐฯต้องการ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เท่าที่ได้เห็นหรือได้ฟังที่เอกอัครราชทูตของสหรัฐฯ กล่าวว่า จะพยายามเข้าแทรกแซงกิจการภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของประเทศที่กำลังจะไปดำรงตำแหน่งอย่างเปิดเผยเช่นนี้
น่าสังเกตว่า ที่ท่านหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีช่วงท้ายที่ว่า นายกรัฐมนตรีทำลายศักยภาพของประเทศไทยในต่างประเทศ เพราะไม่เข้าไปกดดันรัฐบาลเมียนมา และทำลายศักยภาพของประชาชน เนื่องจากใช้มาตรา 112 ดำเนินการจับกุมคุมขังผู้ที่แสดงออกทางความคิด อันเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีของประชาชนเหล่านั้น เนื้อหาในการอภิปราย 2 ข้อนี้ ตรงกับที่ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยแสดงความคิดเห็นก่อนเดินทางมารับตำแหน่งอย่างไม่ผิดเพี้ยน
นี่ย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ และไม่ใช่เป็นการที่ท่านหัวหน้าพรรคก้าวไกลไปเห็นข่าวของนาย Godec แล้วจึงนำมาพูดตามในสภา แต่น่าจะเป็นการวางแผนร่วมกันและทำกันเป็นขบวนการมากกว่า
ดังที่นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบโต้ในสภา ว่า เพราะอะไรการจงใจละเมิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จึงเกิดมากขึ้น หนักข้อขึ้นในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ และในขณะที่มีพรรคการเมืองบางพรรคเกิดขึ้นใหม่
หากย้อนกลับไปดูก็จะพบว่า แม้ก่อนหน้านี้ จะมีขบวนการล้มเจ้า และมีการละเมิดมาตรา 112 และมีการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 โดยกลุ่มนักวิขาการที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มนิติราษฎร์” แต่ก็เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในวงจำกัด แต่นับตั้งแต่มีการจัด flash mob บน skywalk ที่ปทุมวัน นับแต่วันนั้น ก็มีกิจกรรมต่างๆที่จาบจ้วง ย่ำยี และหยาบคายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระหว่างการชุมนุม และใน social media และมีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ในเวลาเดียวกัน ก็มีการรณรงค์ให้ยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งแนวความคิดเช่นนี้ได้ขยายไปอย่างกว้างขวางในกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่
ไม่น่าเชื่อว่า ท่านว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และท่านหัวหน้าพรรคก้าวไกล และบรรดานักวิชาการที่ต้องการให้ยกเลิกมาตรา 112 ล้วนเห็นตรงกันว่า พวกที่ทำการจาบจ้วง ย่ำยี และหยาบคายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเพียงการแสดงออกของคนที่เห็นต่าง และการดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นการทำลายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ทั้งที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า
“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางจำคุกตั้งแต่ 8 ปี ถึง 15 ปี”
ดังนั้น หากเป็นการแสดงความเห็นที่แตกต่างโดยมิใช่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ไม่มีใครสามารถไปจับกุมคุมขังผู้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้มิใช่หรือ
ทำไมตรรกะง่ายๆ เช่นนี้จึงไม่ยอมเข้าใจ หรือพยายามไม่เข้าใจ หรือเป็นเพราะพวกเขาต้องการให้มีแสดงออกที่เป็นการหมิ่นประมาท หยาบคาย และย่ำยีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และพระราชินี ได้ต่อไปเรื่อยๆ ตามที่วางแผนกันไว้แล้วโดยไม่ต้องห่วงว่าจะถูกดำเนินคดี ……. ใช่หรือไม่
ขณะเดียวกัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ระบุว่า
[แถลงการณ์กรณีการประหารชีวิตนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมา]
ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ผมรู้สึกตกใจและเศร้าเสียใจอย่างยิ่งต่อการกระทำอันโหดร้ายของศาลทหารของเผด็จการทหารเมียนมาในการประหารชีวิตผู้นำ NLD และนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย เช่น พโย เซยา จ่อ และ ก่อ หมิ่น ยู ผมขอร่วมกับประชาคมโลกในการประณามการกระทำนี้อย่างรุนแรงที่สุด
สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรมโดยตุลาการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายอันชอบธรรม เป็นอิสระ และเป็นกลาง เป็นหนึ่งในหลักการอันล่วงละเมิดมิได้ที่บัญญัติไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR การทำลายสิทธิดังกล่าวถือเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามจิตสำนึกร่วมที่ดีของประชาคมโลก
เผด็จการทหารเมียนมาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในการปฏิบัติตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยุติความรุนแรงต่อพลเรือนโดยทันที ดังนั้น ผมขอสนับสนุนให้อาเซียนทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้กับเมียนมา พรรคก้าวไกลขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยส่งสัญญาณที่เข้มแข็งและชัดเจนต่อเผด็จการทหารเมียนมาว่า การเข่นฆ่าผู้คนอย่างไร้เหตุผลเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเรียกร้องให้คืนอำนาจกลับคืนสู่ประชาชนโดยเร็วผ่านการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม เนื่องจากเมียนมาที่เป็นประชาธิปไตยและมั่งคั่ง เป็นประโยชน์ไม่เพียงต่อประเทศไทยแต่ต่อประชาคมโลกในภาพรวมด้วย
ผมขอเรียกร้องไปยังสหประชาชาติ ทั้งต่อผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติในประเด็นเมียนมา และคณะกรรมการกลไกสอบสวนอิสระเรื่องเมียนมา (IIMM) ให้รวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างอุกอาจโดยเฉพาะเกี่ยวกับความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว
พรรคก้าวไกลขอยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนชาวเมียนมาอีกครั้งในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ พวกเราได้ทำทุกอย่างภายใต้อำนาจของเราเพื่อกดดันให้ทางการไทยช่วยคลี่คลายความลำบากยากเข็ญของชาวเมียนมา รวมถึงฟื้นฟูการปกครองแบบประชาธิปไตยในเมียนมาโดยเร็วที่สุด
จากสิ่งที่ ทั้งทูตสหรัฐฯ และ “พิธา” เรียกร้องให้รัฐบาลไทยกดดันพม่านั้น สิ่งที่น่าย้อนให้เห็น ก็คือ เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 65 ดร.สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊ก “Sunt Srianthumrong” ในประเด็นเกี่ยวกับเครื่องบินรบเมียนมาล้ำชายแดนไทย ว่า
“ไทย-เมียนมา : ภาพสะท้อนยุโรป-รัสเซีย ทำไมรัฐบาลไทยและกองทัพไทยไม่กล้าเล่นใหญ่ และห้ามทำด้วย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเมียนมาตัดก๊าซไทยแบบทันที
ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่คนไทยทุกคนควรรู้เพื่อจะได้เข้าใจหัวอกของรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคงและทหาร ก็คือ เมียนมามีแต้มต่อเหนือไทยมากๆ อยู่หนึ่งเรื่องสำคัญ ที่ไม่ใช่กำลังทหาร ไม่ใช่กำลังประชาชน แต่นั่นคือ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งไม่ต่างจากการที่รัสเซียมีแต้มต่อเหนือยุโรปเลยครับ
ผมคิดว่า แต้มต่อนี้น่าจะเป็นที่รู้กันดีทั้งในฝ่ายความมั่นคงฝั่งไทยและเมียนมา ข้อมูลพวกนี้เป็นข้อมูลสาธารณะทั้งนั้นครับ
ข้อมูล :
1. ประเทศไทยพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติจากเมียนมามากถึง 6,500 MW
2. Peak Demand ของประเทศปีนี้อยู่ที่ 33,177 MW ณ วันที่ 28 เม.ย. 2565 เวลา 14.30 น. ไม่รวม IPS ที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง
3. ก๊าซเมียนมาถูกกว่า LNG นำเข้ามากๆ เพราะสงครามในยุโรป
4. กำลังไฟฟ้า 6,500 MW เทียบกับ 33,177 MW ในทาง Power System Reliability ถือว่าสูงมาก มากกว่า Spinning Reserve มากกว่า Fast Frequency Response Resource ทั้งหมดรวมกันแน่นอน
5. เคยเกิดเหตุก๊าซจากเมียนมาหายเฉียบพลัน 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2552 ระบบไฟฟ้าไทยเกือบไปไม่รอด แต่ กฟผ.ก็เก่งมากสามารถรักษาระบบเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อสุดๆ โดยแลกมากับน้ำท่วมท้ายเขื่อนบางส่วน แต่ถ้าเกิดขึ้นอีก ผมคิดว่าไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะเอาอยู่ แต่ลึกๆ ผมก็เชื่อว่า กฟผ.อาจจะเอาอยู่ เรามีคนที่เก่งมาก และระบบที่ทันสมัยมากกว่าเดิมอยู่ที่ตรงนั้น
6. เรายังต้องพึ่งพาก๊าซจากเมียนมาอีกเป็น 10-20 ปี ต่างจากยุโรปที่คงพึ่งรัสเซียอีกแค่ไม่เกิน 2-3 ปี
ถ้าเมียนมาตัดก๊าซทันที : จะเกิดอะไรขึ้น
1. ไม่ต่างกับยุโรปโดนรัสเซียตัดการส่งก๊าซทันที
2. ค่าไฟฟ้าน่าจะแพงขึ้นอีกประมาณหน่วยละ 1 บาททันที
3. จากข้อ 2 เศรษฐกิจจะมีปัญหาแน่นอน และม็อบก็จะมากมาย
4. โรงไฟฟ้าจะหายไป 6,500 MW โดยที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว กว่าสถานีก๊าซที่ไทรโยคจะรู้จากค่ามิเตอร์และแจ้งเหตุ โรงไฟฟ้าภาคตะวันตกก็น่าจะร่วงกันหมดแล้ว ผมไม่รู้ Timing ตรงนี้ในรายละเอียด ต้องถาม ปตท.
5. ถ้าจังหวะใช่ เวลาใช่ มีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับทั่วประเทศไทย จากข้อ 4
6. นับจากเกิดเหตุการณ์ในข้อ 4 กฟผ.จะมีเวลาแค่ไม่เกิน 5 วินาที ในการรักษาระบบด้วยการเร่งเดินโรงไฟฟ้าอื่นๆ ขึ้นมาแทน ขอย้ำว่า 5 second เท่านั้น
7. เวลา 5 วินาทียาวนานเท่ากับการหายใจเข้าออก “พุทโธ” 1 ครั้ง
8. The Flash ก็อาจไม่เร็วพอที่จะช่วยเราได้
9. ถ้าเราจะยังสามารถรอดมาได้แบบครั้งก่อน ผมต้องบอกเลยว่า กฟผ.ต้องสร้างปาฏิหาริย์อีกครั้ง ซึ่งปาฏิหาริย์มักไม่ขึ้นบ่อยนัก
สิ่งที่ประเทศไทยเตรียมไว้ :
1. ฝ่ายความมั่นคง ทุกยุคทุกสมัย รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลเมียนมาทุกฝ่าย ทั้งพลเรือนและทหาร รวมทั้งชนกลุ่มน้อยต่างๆด้วย ซึ่งเป็นบทบาทที่ยากมากๆ แต่ก็ทำได้ดีเสมอมา
2. การไฟฟ้า ปตท. และกระทรวงพลังงาน มีแผน A, B, C, D เตรียมทั้งสำหรับปัจจุบันและอนาคต และเรามีแผนอนาคตที่ชัดเจนว่า เราจะยุติเรื่องนี้ได้ และผมเชื่อว่าเราจะทำได้แน่นอน
ไทย-เมียนมา เพื่อนบ้านกัน ชายแดนติดกัน 2,202 กิโลเมตร ถ้าไม่รักกันก็เห็นทีจะลำบากกันทั้ง 2 ฝ่าย พวกเราคงไม่มีใครชอบความรุนแรงที่เกิดในเมียนมาตอนนี้ และก็คงไม่มีใครที่อยากจะเห็นความรุนแรงนั้นบานปลายออกมาสู่ชายแดนหรือล้ำแดนเข้ามา
เราทุกคนมีประเทศชาติต้องดูแล มีคนไทย 70 ล้านที่ต้องดูแล มีคนเมียนมาหลายล้านคนที่อพยพมาทำงานที่เราก็ต้องดูแล สันติภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่เราจะทำสิ่งอื่นสำเร็จ และประเทศไทยคือหัวใจของสันติภาพในภูมิภาคนี้ เราต้องชัดเจน เข้มแข็ง และอดทน และความเข้มแข็งนั้นไม่ได้จำเป็นต้องแสดงออกด้วยความรุนแรงเสมอไป ความอดทน วุฒิภาวะ การแสดงออกอย่างถูกต้องในจังหวะที่ถูกต้อง ล้วนแสดงความเข้มแข็งได้ทั้งสิ้นครับ”
แน่นอน, สิ่งที่ต้องตั้งคำถามกับ “พิธา” ก็คือ มองแค่มุมสิทธิมนุษยชนเท่านั้นหรือ และพร้อมต่อสู้อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนชาวเมียนมาเท่านั้นหรือ แล้วประชาชนไทย ประเทศไทย ที่หากมีการตัด “ก๊าซธรรมชาติ” ทันที แล้วทำให้มีเวลากู้วิกฤตแค่ 5 วินาที อย่างที่ ดร.สันต์ ว่า หายนะที่เกิดขึ้นใครจะรับผิดชอบ “พิธา” รับผิดชอบไหวหรือไม่ ซึ่ง 5 วินาที ก็แค่หายใจเข้า-ออกเท่านั้น เราควรล้อเล่น หรือทำเป็นใหญ่กับความต้องการแทรกแซงกิจการภายในของเขาหรือไม่
ส่วนกรณีทูตสหรัฐฯคนใหม่ ที่มีท่าทีพร้อมแทรกแซงกิจการภายในของไทย และดูเหมือนมีคนบางกลุ่มเปิดประตูรอให้เขาด้วย ยัง “ขายชาติ” ไม่พอหรือ? ยังจะชักศึกเข้าบ้าน และเอาชีวิตคนไทย เอาประเทศไทยไปเสี่ยงอีก
ไม่รู้เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว คนเป็นนักการเมือง คิดว่าคุ้มหรือไม่ที่จะเสี่ยง ถ้าไม่คิดแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว!?