ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“อ๋อย จาตุรนต์” เด็กเลี้ยงแกะเรียกพี่รึเปล่างานนี้ ปล่อยเฟกนิวส์ จีนสวนไม่เคยห้ามทัวร์เข้าไทยเพราะกัญชาเสรี
กรณี “จาตุรนต์ ฉายแสง” อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา ในหัวข้อ “หรือกัญชาเสรีจะเป็นซอฟต์เพาเวอร์ของไทย” โดยตอนหนึ่งอ้างว่า การกลับมาของนักท่องเที่ยว คือ ความหวังของไทยในการฟื้นเศรษฐกิจประเทศ แต่ถึงวันนี้ อย่างน้อย 8 ประเทศแล้วที่ออกมาเตือนประชาชนของประเทศตนเอง และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศไทย ว่า ในประเทศเขาให้กัญชาเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย การมีไว้ในครอบครอง หรือนำเข้ามีโทษร้ายแรง
โดยเฉพาะสถานทูตจีน ที่ออกมาเตือนประชาชนของตน และกำหนดโทษไว้อย่างร้ายแรง นำมาสู่การยกเลิกกำหนดการท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวจีน
โดยสรุป “อ๋อย จาตุรนต์” ฟันธงอย่างมั่นใจว่า กัญชาเสรี จะเป็นซอฟต์เพาเวอร์ด้านลบของไทย
ทว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาไม่นานต่อมาก็พิสูจน์คนอย่าง “จาตุรนต์” ที่ฟันธงไว้ กลับหน้าแหกแตกยับ เมื่อ เพจ Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความเมื่อ วันอังคาร (19 ก.ค.) Q&A ถามตอบกับ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนฯ
Q: มีสื่อรายงานว่า เนื่องจากการเปิดเสรีกัญชาของไทย รัฐบาลจีนได้ออกประกาศหยุดการเดินทางท่องเที่ยวไปประเทศไทย และทัวร์จีนจำนวนมากได้ยกเลิกการจองด้วย เรื่องนี้จริงหรือเปล่า
A: เรื่องนี้ไม่ใช่ความจริง ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลจีนได้หยุดธุรกิจการจัดกลุ่มทัวร์ไปเที่ยวที่ต่างประเทศ และยังไม่ได้เปิดอีกจนถึงปัจจุบันนี้ จึงไม่อาจมีเรื่อง “ยกเลิกการจอง” ของทัวร์จีน และรัฐบาลจีนก็ไม่ได้ออกประกาศหยุดการเดินทางไปไทยอีกทีเนื่องจากการเปิดเสรีกัญชาของไทย
งานนี้นอกจาก “จาตุรนต์” หน้าแหกแล้ว "พลพีร์ สุวรรณฉวี" รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ยังสำทับให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า ต้องขอบคุณทางสถานทูตจีน ที่ออกมาชี้แจงความจริงให้ประชาชนรับทราบ เข้าใจว่าการปล่อยข่าวของ “จาตุรนต์” น่าจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จึงจำเป็นต้องออกมาชี้แจง
ส่วนตัวรู้สึกผิดหวังมากกับ “จาตุรนต์” นักการเมืองมากประสบการณ์ ของพรรคเพื่อไทย ที่มาให้ข่าวในเชิงลบ ข่าวที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ เป็นภาระให้ทางการต้องออกมาแก้ข่าว
น่าสนใจว่า “จาตุรนต์” ทำงานการเมืองมานานขนาดนี้ เคยเป็นถึงรัฐมนตรี และเป็นที่ยอมรับนับถือในพรรคเพื่อไทย แต่กลับไม่ตรวจสอบความถูกต้องของข่าวสาร ทำให้สังคมเข้าใจผิด หรือว่า ถนัดการทำงานแบบตีกิน ขาดความรับผิดชอบ
นี่คือ วัฒนธรรมการเมืองแบบเก่า และน้ำเน่ามาก คนเรายิ่งแก่ ยิ่งต้องเก๋า ไม่ใช่ แก่แล้วแก่เลย แบบนี้ใครมันจะไปเชื่อถือ
งานนี้ต้องถาม “จาตุรนต์” แล้วล่ะเด็กเลี้ยงแกะเรียกพี่หรือเปล่า!!
**โปรโมตราวซีรีส์เกาหลี เข้าบทจริงแค่ละครน้ำเน่าแบบไทยๆ ศึกซักฟอกซีซั่นนี้ ยังไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์
เปิดฉากกันไปแล้ว สำหรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวมทั้งนายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงเช้าของวันวานที่ผ่านมา หลังจากฝ่ายค้านโหมโรงโปรโมตกันอยู่หลายวัน
ทั้งออกโปสเตอร์ ตีปี๊บยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” โดยพรรคเพื่อไทย ที่ออกแบบให้ดูคล้ายใบปิดหนังซีรีส์เกาหลี ซอฟต์เพาเวอร์แดนโสมขาว ที่ถูกอกถูกใจคนทั้งโลก ซึ่งนัยของชื่อยุทธการ ก็คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อโค่นล้ม “พี่น้อง 3 ป.” ที่ถือเป็นหัวเรือใหญ่ของรัฐบาล และ 8 รัฐมนตรี ที่เป็นนั่งร้าน ซึ่งข้อความในโปสเตอร์ สื่อความหมายทำนอง ทั้ง 11 คนที่ถูกซักฟอก ต้องขนหัวลุกแน่นอน
ส่วน “พรรคก้าวไกล” ก็ไม่น้อยหน้า ออกมาในแนวการ์ดเชิญร่วมงานศพ สื่อความหมายว่า ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ คือ การตอกตะปูปิดตาย ทลายระบอบประยุทธ์ โดยอ้างถึงหัวข้อเด็ดที่จะเอามาชำแหละให้เห็นความล้มเหลวของรัฐบาล “ลุงตู่” อาทิ GT-200, นาฬิกาเพื่อน, ทุจริตอนุสาวรีย์, นักรบไซเบอร์ (ที่เหนือกว่า IO), เบื้องหลังค่าไฟแพง, เผด็จการข้ามพรมแดน เป็นต้น
แต่พอถึงเวลาเปิดฉากการอภิปรายกันวันแรก ก็ยังไม่เห็นทีเด็ดอะไรที่จะทำให้ทั้ง 11 รัฐมนตรีต้องขนหัวลุก หรือมีอะไรที่จะทลายระบอบประยุทธ์ลงได้ นอกจากวาทกรรมที่เชือดเฉือนยั่วยุ ให้เกิดการตอบโต้กันไปมา
เริ่มจาก “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายพูดรวมๆ ถึงความพินาศล้มเหลว 6 ด้าน ของรัฐบาลประยุทธ์ คือ 1. ผู้นำแห่งความพินาศ 2. เศรษฐกิจพังพินาศ 3. สังคมพังพินาศ ล้มเหลว 4. สาธารณสุขพังพินาศ ล้มเหลว 5. การเมืองพังพินาศ ล้มเหลว และ 6. คอร์รัปชันจนระบบประเทศพังพินาศ ก่อนตบท้ายว่า ความพินาศเหล่านี้ มาจากความสามารถอันจำกัดของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ไร้ความสามารถในทุกมิติ จนไม่อาจทำงานต่อไปได้ พร้อมเรียกร้องว่า อย่าดันทุรังบริหารประเทศ อย่าอยู่เพื่อเป็น “กลุ่ม 608” ทำลายประเทศชาติ
อภิปรายจบ “ลุงตู่” ผู้ถูกพาดพิง ก็ลุกขึ้นตอบโต้ทันทีว่า ที่ผู้นำฝ่ายค้านอภิปรายมา ไม่ใช่ความจริง พร้อมเหน็บกลับไปว่า คงไม่ได้ฟังว่า รัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง หรือฟังยังไม่ครบ ไม่หมด หรือฟังโดยใช้อวัยวะข้างเดียวไม่ได้ฟังสองข้าง
และที่พูดถึง “กลุ่ม 608” ซึ่งหมายถึงผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือมีโรคประจำตัว 8 โรค ก็โดนดรามากลับว่า ต้องให้เกียรติคนพวกนี้ด้วย เพราะเป็นประชากรที่มีอายุสูง ต้องให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ ในเรื่องของสุขภาพ
ที่พีกไปกว่านั้น ก็ตรงที่ “บิ๊กตู่” เหน็บกลับไปว่า นายกฯ ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ไม่ได้ฉลาดที่สุด เหมือนบางคนที่ท่านบอกฉลาดที่สุด แต่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เอากลับมาให้ได้ก็แล้วกัน ซึ่งคนที่ฝ่ายค้านบอกว่าฉลาดที่สุด ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน “โทนี่ วู้ดซั่ม” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีไปเร่ร่อน อยู่ต่างประเทศนั่นเอง
เมื่อเข้าสู่การอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ประเดิมที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข โดย “สุทิน คลังแสง” ส.ส.พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน นำทีมอภิปราย ในประเด็นความล้มเหลวในการแก้ไขโควิด-19 และการปลดล็อกกัญชาที่ฝ่านค้านกล่าวหาว่า เป็นการทำผิดอนุสัญญาของยูเอ็น และไม่มีการควบคุมอันจะทำให้คนไทยติดยากันทั้งประเทศ
ซึ่งรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงก็ตอบได้อย่างชิลๆ ว่า เรื่องโควิด-19 ไทยไม่ได้ล้มเหลว ทั้งระบบบริหารจัดการ เรื่องยารักษาโรค ไปจนถึงวัคซีน ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกนี้ ที่ให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิดในประเทศทุกราย ทั้งในและนอกสถานพยาบาลจนหายป่วยภายใต้การดูแลของรัฐ ทั้งยังถูกจัดเป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพ พร้อมรับมือการระบาดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก จากการประเมินทั้งหมด 195 ประเทศ และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย ล่าสุดก็ได้รับการคัดเลือกโดยมีมติเป็นเอกฉันท์จากประเทศสมาชิกอาเซียน ให้เป็นที่ตั้งของศูนย์ ACPHEED หรือ สำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่
“รองฯ อนุทิน” ยังมีติดปลายนวมกลับไปยังฝ่ายค้านเรื่องที่ “โทนี่ วู้ดซั่ม” เคยท้าทายว่า ประเทศไทยจะไม่มีทางหาวัคซีนได้ถึง 100 ล้านเข็ม ภายในสิ้นปี 64 ขอพนัน 100 บาท เอาขี้หมากองเดียว ซึ่งจริงๆ ก็เตรียมส่งมอบไว้แล้ว แต่คิดว่าเพื่อความสมานฉันท์ สามัคคี ขอเก็บเอาไปทิ้งในที่อันสมควรดีกว่า ไม่ขอฝากท่านไปให้คนที่พูดหรอก
ส่วนเรื่องปลดล็อกกัญชา “รองฯ อนุทิน” ยืนยันว่า ไม่ขัดหรือแย้งอนุสัญญาเดี่ยว ที่อนุมัติกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ โดยนายกฯ ได้เน้นนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ไม่มีคำว่า สันทนาการแม้แต่นิดเดียว หากมีการใช้นอกจากนี้เป็นการผิดกฎหมายประกาศกระทรวงสาธารณสุข และก็ไม่ได้ปล่อยให้มีสุญญากาศตามที่ถูกกล่าวหา
ขณะที่ข้อกล่าวหาที่ว่า “ปลดล็อกกัญชา” เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้ตนเองนั้น “ศุภชัย ใจสมุทร” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ชี้แจงแทนว่า “รองฯ อนุทิน” ให้บริษัท เกียรตินาคิน เป็นผู้บริหารทรัพย์สินทั้งหมด ส่วนบริษัทจะถือหุ้นในบริษัทใดก็แล้วแต่บริษัทนั้น โดยบริษัทไทยคานาบิส ที่ปรากฏในข่าวนั้น มีวัตถุประสงค์ในการทำกัญชาจริง แต่จังหวัดชลบุรีอากาศไม่เหมาะสม จึงตัดสินใจยกเลิกไม่ประกอบธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2564 แล้ว ใบอนุญาตที่ได้มาก็ยกเลิกไปแล้วด้วย “รองฯ อนุทิน” จึงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากบริษัทนี้
โดยภาพรวมแล้ว ศึกซักฟอกวันแรก รัฐมนตรีที่โดนอภิปราย ยังตอบโต้ได้แบบสบายๆ “ธนกร วังบุญคงชนะ” โฆษกรัฐบาล จึงออกมาเย้ยหยันว่า ผิดหวังอย่างมากกับการอภิปรายครั้งนี้ เพราะไม่มีอะไรใหม่ วนเวียนอยู่กับเรื่องเก่าๆ เช่น การยึดอำนาจ การบริหารงานผิดพลาดล้มเหลว จงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่อทุจริตเอื้อประโยชน์ หรือแม้แต่การก๊อบปี้คำพูดผู้นำต่างชาติ ก็เอามาพูดอีก เนื้อหาที่ฟังทั้งหมด จึงไม่ต่างจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 ครั้งก่อน ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ที่เป็นการกล่าวหาโจมตีซ้ำไปซ้ำมา เลื่อนลอยไร้น้ำหนัก และขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่มีจุดเด่น คือการใช้วาทกรรมเสียดสีประชดประชัน สร้างความบันเทิงแบบซีรีส์เกาหลีตามสไตล์ที่ตัวเองถนัด ไม่สมราคาที่เคยคุยไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีเรื่องเด็ดและตื่นเต้น
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ก็เป็นเพียงฉากหน้าโหมโรงให้ดูตื่นเต้นหวือหวาเท่านั้น แต่พอเข้าบทก็ไม่มีอะไร เข้าทำนองข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง” นี่เป็นคำปรามาส จากโฆษกรัฐบาล ก็คงต้องติดตามดูอีก 3 วันที่เหลือ พรรคฝ่ายค้าน จะลบคำสบประมาทนี้ออกไปได้หรือไม่