xs
xsm
sm
md
lg

“อนุทิน” ลั่นยกระบบสุขภาพไทยเข้มแข็งคุมโควิดได้ ฉีดวัคซีนทะลุ 140 ล.โดส เซฟ 4.9 แสนชีวิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รมว.สธ. แจงซักฟอก ยันยกระบบสุขภาพไทยเข้มแข็ง คุมโควิดได้ ประเทศไทยเดินหน้า ฉีดวัคซีนทะลุ 140 ล้านโดส เซฟ 4.9 แสนชีวิต จัดหาสารพัดยารักษาผู้ป่วย เผยต่างชาติยอมรับ ไม่ได้ล้มเหลว

วันนี้ (19 ก.ค.) ที่อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวชี้แจงระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระบุว่า มีการตั้งข้อสงสัยในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทรวงสาธารณสุข ได้มีความตื่นตัวในการแก้ไขสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งระบบบริหารจัดการ เรื่องยารักษาโรค ไปจนถึงวัคซีน ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกนี้ ที่ให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิดในประเทศทุกราย ทั้งในและนอกสถานพยาบาลจนหายป่วย ภายใต้การดูแลของรัฐ ผ่านการดำเนินงานของ สปสช.

ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปแล้วถึงกว่า 140 ล้านโดส วัคซีนทุกชนิดได้ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด ลดความรุนแรงของอาการป่วยจากหนักให้เป็นเบา และป้องกันการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนได้อย่างเห็นได้ชัด

วานนี้ ได้มีการเผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งสรุปได้ใจความว่า วัคซีนที่ได้ทำการฉีดให้คนไทยสามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยได้ถึง 490,000 คน ซึ่งหมายความว่า หากไม่มีการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ก็อาจจะมีการสูญเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิดอีกนับแสนราย

ประเทศไทยได้จัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคนชราเป็นที่เรียบร้อย

“ในเรื่องคำท้าทายว่า ประเทศไทยจะไม่มีทางหาวัคซีนได้ถึง 100,000,000 เข็ม ภายในสิ้นปีที่แล้ว 100 บาท เอาขี้หมากองเดียว จริงๆ ผมเตรียมส่งมอบไว้แล้วครับ แต่ผมคิดว่าเพื่อความสมานฉันท์สามัคคี ผมขอเก็บเอาไปทิ้งในที่อันสมควรดีกว่า ไม่ขอฝากท่านไปให้คนที่พูดหรอกครับ”

แม้จะมีเกมการเมืองเกิดขึ้นตลอดเส้นทางของการต่อสู้กับสถานการณ์โรคระบาดโควิด ผมขอยืนยันว่า บุคลากรสาธารณสุขทุกคน ไม่ได้ท้อถอย หรือถอดใจ ทราบเป็นอันดีว่า เรื่องการแพทย์และการสาธารณสุขเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ความจริง หรือความเท็จได้ด้วยหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์ โดยประเทศไทยก็ยังได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลก ให้เป็นต้นแบบของประเทศที่รับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้รับการประเมิน “ดัชนีความมั่นคงทางสุขภาพ” ประจำปี 2564 จัดอันดับให้ ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพพร้อมรับมือการระบาด เป็นอันดับที่ 5 ของโลก จากการประเมินทั้งหมด 195 ประเทศ และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย

ในเรื่องของการจ่ายยา สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุข กำลังทำอยู่ทุกวันนี้ คือ การบริหารการใช้ยาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องออกแนวทางให้แพทย์สั่งจ่ายยาตามอาการของผู้ป่วย ได้ให้กรมการแพทย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบทางวิชาการ ได้ออกแนวทางการสั่งจ่ายยาของแพทย์ให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ของโรคระบาด ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งยา

ประเทศไทย มียาเพื่อใช้รักษาโรคโควิดให้พี่น้องประชาชน ทั้งยาฟ้าทะลายโจร ฟาวิพิราเวียร์ เรมเดซิเวียร์ แพกซ์โควิด โมลนูพิราเวียร์ และล่าสุด คือ ยาแบบ Hybrid ที่เรียกว่า Long Acting Antibody ซึ่งก็คือ ยาที่ได้จัดซื้อมาสำหรับผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วยที่ฉีดวัคซีนแล้วภูมิไม่ขึ้น

สำหรับ การมีผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วย เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ เป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุข คาดไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยว และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค เพราะรัฐบาล ต้องรักษาสมดุลระหว่างการแก้ปัญหาด้านสุขภาพ กับ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่างเหมาะสม ภายใต้หลักการที่ว่า คนไทยต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานการณ์การระบาดของโควิด ได้อย่างเหมาะสม และปลอดภัย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

“ที่ท่านบอกว่า ระบบสุขภาพไทยล้มเหลว ขอย้ำว่า ประเทศไทยได้รับการคัดเลือกโดยมีมติเป็นเอกฉันท์จากประเทศสมาชิกอาเซียน ให้เป็นที่ตั้งของศูนย์ ACPHEED หรือ สำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียน ด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ในการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขของอาเซียน ที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา งานนี้กว่า ASEAN จะยอมให้ศูนย์นี้มาตั้งในประเทศไทย ใช้เวลามากกว่าห้าปี มีอีกสองประเทศสมาชิกเสนอตัวเป็นคู่แข่ง แต่ด้วยความมั่นใจที่อาเซียนมอบให้ ในที่สุด ไทย ก็ได้รับเลือกให้จัดตั้งศูนย์ข้างต้นขึ้นมา สิ่งนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จและเป็นเกียรติภูมิของประเทศ”


กำลังโหลดความคิดเห็น