คนกันเองทั้งนั้น! “ณัฐวุฒิ-บก.ลายจุด-เนติวิทย์-ณวัฒน์” ได้รับรางวัล “โทนี่ วู้ดซัม อวอร์ด” “นักวิชาการ” ตั้งข้อสังเกต “ชัชชาติ” อิสระจริงหรือ? “ไพศาล” ชี้ ครั้งหน้าพลิกโฉมเลือกตั้ง ส.ส.เขต ปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อ “นายกฯ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (2 ก.ค. 65) ที่หอศิลปวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร กลุ่มแคร์ จัดงาน 2 ปี CARE คิด เคลื่อนไทย มอบรางวัล คนเคลื่อนไทยเพื่อสังคมที่ทุกคนต้องการ โดยมีผู้ร่วมงาน อาทิ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้ประสานงานกลุ่มแคร์
โดย นพ.สุรพงษ์ กล่าวเปิดงานในหัวข้อความหวัง ความฝัน พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ว่า โลกเปลี่ยนได้เพราะความคิดและชีวิตของคน ไม่ต้องเหมือนเดิมอีกต่อไป โดยในช่วงโควิดที่ผ่านมา พวกตนจึงคิดตั้งกลุ่มแคร์ขึ้นมา เพราะคิดว่าเราจะปล่อยปละละเลยสังคม โดยไม่ทำอะไรเลย ไม่น่าจะถูกต้อง และ 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มแคร์พยายามสร้างแพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย ขึ้นมา ไม่ว่า เฟซบุ๊ก ยูทูบ พอดแคสต์ และ คลับเฮาส์ เพื่อสร้างโอกาสและให้คนเห็นว่า กลุ่มแคร์กำลังทำอะไร ดังนั้น การครบรอบปีที่ 2 ของเราจึงคิดว่าทำอย่างไร เพื่อให้คนมาร่วมขับเคลื่อนประเทศและรับรู้ร่วมกัน เป็นพลังซึ่งกันและกัน จึงเป็นที่มาของงานในวันนี้
ทั้งนี้ มีการมอบรางวัล “คนเคลื่อนไทย” 10 รางวัล ให้กับบุคคลและองค์กร เช่น กลุ่มประชาชนเบียร์ มูลนิธิและพนักงานบริการ (SWING) นายเนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล นักกิจกรรมนักศึกษา นายเศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารกลุ่มแสนสิริ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. และ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรชื่อดัง โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) มูลนิธิกระจกเงา ประชาไทย
โดย นายเนติวิทย์ กล่าวว่า รู้สึกตกใจที่ได้รับรางวัล เพราะไม่เคยได้รับรางวัลอะไรมาก่อน รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรที่เป็นรูปธรรมมาก ที่ตัดสินใจมารับรางวัล เพราะได้ต่อสู้ในจุฬาฯ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบางเรื่องได้ ซึ่งความจริงตนต้องได้รางวัลจากจุฬาฯ 1,000-2,000 บาท แต่ตนก็ไม่ได้ แม้เป็นเงินเพียงน้อยนิด เป็นเพราะตั้งคำถามต่อมหาวิทยาลัย และการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ขอบคุณหลายคนที่เป็นกำลังใจตนตลอดมา ขออุทิศรางวัลที่ได้ให้น้องๆ เพื่อนๆ และคนรุ่นต่อไปในอนาคตในการทำความฝันให้เป็นจริงต่อไป
ด้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ไม่ได้อยู่ไกลตัว อยู่รอบตัวเรา การรับรางวัลนี้เป็นแรงปะทะภายในใจตน เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตนกับพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์เคยต่อสู้เพื่อการเลือกตั้ง ใกล้บริเวณนี้ เคยถูกไล่ฆ่าหนีตายมาในบริเวณนี้ รางวัลนี้ไม่ใช่ของตน แต่เป็นของประชาชนที่ออกมาต่อสู้และสูญเสีย เรียกร้องเสรีภาพความเท่าเทียม แต่ถูกกระทำอย่างโหดร้าย และตนขอมอบรางวัลนี้ให้กับผู้เสียชีวิตทุกคน
จากนั้นเป็นการมอบรางวัล Tony Woodsome Award ให้แก่บุคคลสำคัญ โดยมี น.ส.แพทองธาร เป็นผู้มอบรางวัล ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คำถามข้อแรกของกลุ่มแคร์ได้ตั้งขึ้นในช่วงเริ่มก่อตั้ง คือ ประเทศไทยจะไปอย่างไรต่อในวันที่หาทางออกไม่เจอ ซึ่งคิดเคลื่อนไทยคือคำตอบ กลุ่มแคร์จึงได้รวบรวมคนที่มีความสามารถด้านต่างๆ มาระดมสมองกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไป ตนเชื่อว่า ปัญหาของประเทศไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันขับเคลื่อน บางปัญหาไม่ใช่รัฐบาลอย่างเดียว แต่เอกชนต้องร่วมขับเคลื่อนด้วย รวมทั้งหลายภาคส่วนต้องช่วยกันปัญหาของประเทศจึงเป็นภาระหน้าที่ของเราทุกคน และเป็นความหมายของรางวัลคนเคลื่อนไทย คือ ทุกคนสามารถขับเคลื่อนประเทศไทยที่เรารักไปข้างหน้าได้
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญในการแก้ปัญหาของประเทศ คือ รัฐบาล อำนาจของรัฐบาลจะทำให้สามารถนำปัญหาที่มีอยู่หยิบยกขึ้นมาถกเถียงกัน และรัฐบาลต้องยกปัญหาขึ้นมา เอาประชาชนเป็นศูนย์กลางการแก้ปัญหาร่วมกัน จะเกิดขึ้นได้แน่นอนถ้ารัฐบาลนั้นมาจากประชาชน และมั่นใจว่า รัฐบาลที่มาจากประชาชนจะได้ยินเสียงของประชาชนเสมอ นอกจากจะแสดงความยินดีกับคนเคลื่อนไทยทั้ง 10 คน และองค์กรแล้ว ตนยังมาในฐานะตัวแทนนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บิดาของตน ในการมอบรางวัลโทนี่ วูดซัม อวอร์ด ซึ่งคุณพ่อมองว่ารางวัลนี้เหมาะสมอย่างมากกับผู้รับ ที่สร้างโอกาสให้บุคคลทั้งประเทศ แม้บุคคลที่ได้รับอาจไม่ได้อยู่ตรงนี้กับเรา แต่ตนขอเชิดชู และยกย่องว่า เป็นผู้เหมาะสมกับรางวัลนี้อย่างมาก คือ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) คนแรก ผู้ริเริ่มโครงการนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ของพรรคไทยรักไทย โดยมีภรรยาและครอบครัว เป็นผู้รับรางวัลแทน
จากนั้น นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งคลิปวิดีโอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล ว่า ตนได้มามีส่วนร่วมกับกลุ่มแคร์มา 2 ปีแล้ว ตนคิดว่า วันนี้ประเทศไทยเรากำลังต้องการคนที่มีความรู้ประสบการณ์มีความห่วงใยบ้านเมืองช่วยกันคิดช่วยกันแสดงออก ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงควรจะเปิดใจรับไปปฏิบัติในสิ่งที่คิดว่ามันใช่ หากไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกคนก็ห่วงใยบ้านเมือง
ตนในฐานะที่เป็นอดีตนายกฯ ทำงานโดยตรงในหน้าที่มา คือ 6 ปี และมาอยู่ต่างประเทศ ได้เห็นโลกกว้าง ที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ไม่มีมาก่อน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับรับรางวัลจากมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลของประเทศอังกฤษ ในเรื่องวิศวกรรมด้านสุขภาพ โดยมีระบบเอไอเข้ามาร่วม หมายถึงความพยายามในการเคลื่อนโลกหรือประเทศให้สังคมตัวเองได้เคลื่อนไหวด้วยความรู้ความสามารถและด้วยความพยายามที่ไม่ยอมหยุดยั้ง
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า เพราะฉะนั้น กลุ่มแคร์จึงเป็นกลุ่มที่รวมคนมาคิดเพื่อไทย และในวันนี้ได้ตัดสินใจว่าจะมอบรางวัลให้กับคนต่างๆ ที่กล้าคิดเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย สำหรับรางวัลที่มอบให้กับนพ.สงวน ซึ่งเป็นคนทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค อันเป็นนโยบายที่สำคัญของพรรคไทยรักไทยในวันนั้น และจนวันนี้คนไทยก็ได้เข้าถึงหลักสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งเราต้องขอขอบคุณ นพ.สงวน จริงๆ
อย่างไรก็ตาม โครงการ 30 บาทฯ ผิดเพี้ยนไปเยอะไม่เหมือนในอดีต ก็คงต้องมีการปรับปรุงให้ไม่ผิดเพี้ยน และขอให้พวกเรากล้าคิดทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากๆ เพราะเราต้องการสมองและความกล้าของคนไทยทุกคน
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้แชร์ความเห็นจาก เพจเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ของ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดี มธ. ระบุว่า
“เห็นข่าว อ.ชัชชาติ ไปร่วมแสดงความยินดีในงานครบรอบ 5 ปีของ The Standard โดยไปถึงงานเป็นคนแรก และยังได้ไปร่วมแสดงความยินดีในวาระครบรอบ 13 ปี Voice TV พอเปิด you tube ก็เห็นอีก 2 สำนักออกข่าวที่ อ.ชัชชาติ ไปตอบคำถามสมาคมผู้สื่อข่าวนานาชาติ หรือ FCCT คือ BBC News และ มติชน โดย BBC จั่วหัวว่า
“ชัชชาติโชว์ลีลา ภาษาอังกฤษ”
สำนักข่าวมติชนจั่วหัวว่า
“ชัชชาติรัวภาษาอังกฤษตอบคำถามสื่อนานาชาติ”
ในช่วงเวลาใกล้กัน ก็มีการแชร์การกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษของ คุณวราวุธ ศิลปอาชา ซึ่งมีการชมว่าพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา ไม่แน่ใจว่า เป็นการแชร์ออกมาประชันกันหรือไม่ แต่ก็คิดว่า เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบกัน ขอบอกว่า คำชมคุณวราวุธไม่ได้เกินความจริง เพราะคุณวราวุธพูดภาษาอังกฤษได้ดีเหมือนเจ้าของภาษาจริงๆ (มหาวิทยาลัยที่จบมาก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า อ.ชัชชาติ)
ในขณะที่ อ.ชัชชาติ พูดได้เหมือนคนไทยคนหนึ่งที่พอพูดภาษาอังกฤษได้เท่านั้น ขอย้ำว่า พอพูดได้เท่านั้น กระนั้นสื่อทั้ง 2 สำนัก ก็อุตส่าห์หามุมมาอวยกันจนได้ สุดยอดจริงๆ
ผมเองพยายามจะเชื่อว่า อ.ชัชชาติ เป็นผู้สมัครอิสระจริง แต่จากพฤติกรรมของสื่อเหล่านี้ และของตัว อ.ชัชชาติ เอง ยิ่งนานวันยิ่งทำให้ไม่อาจเชื่อได้ว่า อ.ชัชชาติ เป็นอิสระจริง
อีกเรื่องที่มีผู้ที่ผมเชื่อถือยืนยันกับผมว่า อ.ชัชชาติ มีความจงรักภักดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน และจะไม่ไปข้องแวะกับพวกที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย เรื่องนี้ก็ชักจะไม่มั่นใจเสียแล้ว
เพราะสื่อบางสื่อมีความฉลาดและแนบเนียนอย่างยิ่ง ที่จะใช้โอกาสทุกโอกาสที่หาได้ เพื่อเปิดให้มีแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งคงอ้างว่าไม่รู้ล่วงหน้าไม่ได้ว่าความเห็นจะออกมาแบบใด สื่อแบบนี้ ผู้ที่มีความจงรักภักดีเขาไม่อยากข้องแวะด้วย แต่ อ.ชัชชาติ ยังข้องแวะด้วย ไม่เพียงข้องแวะ สื่อเหล่านี้ยังทำเสมือนหนึ่งเป็นทีมประชาสัมพันธ์ให้ อ.ชัชชาติ ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
สาบานได้ว่า ผมพยายามจะเชื่อตามแล้วจริงๆ ครับ ให้ตายเถอะ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Paisal Puchmongkol ระบุว่า
“พฤติกรรมในการเลือกตั้งครั้งหน้าพลิกโฉมแล้ว
1. การเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผ่านมา ประชาชนจะเลือก ส.ส.เขต ที่มีความสนิทสนมเชื่อถือกันมา แต่หลังจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ชัชชาติชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ได้ทำให้พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส.เปลี่ยนแปลงไป คือ มุ่งต่อ “การเลือกเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี” ที่ต้องการ
2. การเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนจะเลือก ส.ส. เขต เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองนั้นๆ และจะไม่คำนึงว่า ผู้สมัคร ส.ส. เขตเป็นใคร ขอเพียงไม่ใช่คนที่ไม่เข้าท่าก็ใช้ได้แล้ว
3. ในการเลือก ส.ส. บัญชีรายชื่อ ก็จะเลือกผู้สมัครของพรรคการเมืองที่ส่งผลต่อการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีที่ต้องการ
จะทำให้ผลการเลือก ส.ส. บัญชีรายชื่อกับ ส.ส. เขตไปในทิศทางเดียวกัน
4. พรรคการเมืองที่จะเสนอใครเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณากันอย่างหนักว่าผู้นั้นประชาชนต้องการให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่
ถ้าไม่ใช่ก็จะแพ้เลือกตั้งยับเยิน
และนี่คือ ที่มาของผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นแบบแลนด์สไลด์
5. การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการเลือกระหว่าง พลเอก ประยุทธ์ กับฝ่ายที่ไม่ใช่ พลเอก ประยุทธ์ คือ คุณอุ๊งอิ๊ง”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ ความพยายามที่จะดึงคนที่มีฐานเสียงทางการเมืองมาใช้ประโยชน์ในทางการเมือง ซึ่งการมอบรางวัล “โทนี่ วู้ดซัม อวอร์ด” ก็คือ กลยุทธ์หนึ่งที่ต้องการให้ “ติ่ง” ของคนที่ได้รับรางวัล ให้การสนับสนุนทางการเมืองของตน ต่อให้แสดงวาทกรรมเลิศหรูแค่ไหนก็ตาม
ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นที่สังเกตว่า ส่วนใหญ่เป็นคนที่ใกล้ชิดและชื่นชอบพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว บางคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียวกับกลุ่ม 3 นิ้ว บางคนเคยเป็นแกนนำม็อบขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้วย
ส่วนกรณี “ชัชชาติ” ต้องยอมรับว่า มีบางฝ่ายพยายามที่จะเป็น “เจ้าของ” และอ้างว่า ชัยชนะของ “ชัชชาติ” เป็นชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย ส่วน “ชัชชาติ” จะมีจุดยืนที่มั่นคงในความเป็นอิสระ เป็นกลางได้อย่างมั่นคงหรือไม่ กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ “ไพศาล” ชี้ว่า จะพลิกโฉมการเลือกตั้ง โดยถนนทุกสายมุ่งสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ก็นับว่าน่าจับตามอง และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ถือว่าคนไทยมีพัฒนาการทางการเมืองแบบก้าวกระโดด ทั้งยัง “ล้ำหน้า” พรรคการเมือง ส.ส. และนักเลือกตั้งไปแล้ว เพราะพวกเขายังวุ่นอยู่กับการซื้อตัวผู้สมัคร ส.ส.กันอยู่เลย!?