xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ หารือทูตไซปรัส ผลักดันความร่วมมือผ่านการค้าการลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตไซปรัส พร้อมผลักดันความร่วมมือผ่านการค้าการลงทุน ส่งเสริมศักยภาพในระดับภูมิภาคร่วมกัน

วันนี้ (22 มิ.ย.) เวลา 11.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายอะยิส ลุยซู (H.E. Mr. Agis Loizou) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐไซปรัสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับและยินดีที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก โดยทราบว่าเอกอัครราชทูตไซปรัส เดินทางมาประเทศไทยจากอินเดีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมมนตรีมูลนิธิเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Foundation Board of Governors) ปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งปี 2565 นี้ ผู้แทนประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานของคณะมนตรีมูลนิธิเอเชีย-ยุโรป และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของการก่อตั้งมูลนิธิเอเชีย-ยุโรป ด้วย พร้อมชื่นชมเอกอัครราชทูตไซปรัส ที่มีประสบการณ์ในเวทีองค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง และเป็นผู้ริเริ่มผลักดันให้ไซปรัสเข้าร่วมเป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank: AIIB) ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้ง โดยเน้นย้ำว่า ไทยยินดีส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทย-ไซปรัส ให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกด้าน ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันมากว่า 4 ทศวรรษ โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุนเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและต่อยอดไปยังภูมิภาค

เอกอัครราขทูตไซปรัส ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เดินทางเยือนไทยในครั้งนี้ ชื่นชมไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเปรียบเสมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง โดยไซปรัสจะผลักดันความร่วมมือกับไทยอย่างเต็มที่ ซึ่งเอกอัครราชทูตไซปรัส พร้อมเป็นสื่อกลางในการรับข้อเสนอแนะและประสานงานร่วมกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในมิติอื่นๆ เพื่อให้เกิดความร่วมมือรอบด้าน โดยเอกอัครราชทูตไซปรัส ชื่นชมการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของรัฐบาลไทย ที่ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่กับการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ และยินดีสนับสนุนไทยในเวทีโลกผ่านความร่วมมือในกรอบความตกลงต่างๆ ที่มี และพร้อมสานต่อความร่วมมืออื่นๆ ที่เชื่อมั่นว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มเติมในอนาคต

ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่างๆ ได้แก่

ด้านการค้าการลงทุน ไทยและไซปรัสเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันส่งเสริมและฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงหลังโควิด-19 ในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมและมีศักยภาพ โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึง ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG และการพัฒนาพื้นที่ EEC ของไทย โดยเฉพาะด้านพลังงาน เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว และเศรษฐกิจดิจิทัล นอกจากนี้ ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยสนใจลงทุนในต่างประเทศและในยุโรปมากขึ้นในสาขาบริการ ด้านการท่องเที่ยว การโรงแรม ร้านอาหารไทย สปา และนวดแผนไทย ซึ่งไซปรัสสามารถใช้ประโยชน์จากไทยในการต่อยอดการลงทุนและเชื่อมโยงไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้ ด้านเอกอัครราชทูตไซปรัสฯ ยินดีส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว และพร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ร่วมกัน โดยเฉพาะด้านพลังงานทดแทนที่ไซปรัสมีศักยภาพ เชื่อมั่นว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการหารือและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตไซปรัส ได้เสนอให้ทั้งสองประเทศจัดการประชุมด้านการลงทุน (Investment Summit) ร่วมกับภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมนักลงทุนทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาค

ด้าน การท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรียินดีส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ไปมาหาสู่ระหว่างกันได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันไทยได้ผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศแล้ว เชื่อมั่นว่าในอนาคตนักท่องเที่ยวจากอียูและไซปรัสจะเดินทางมายังไทยเพิ่มมากขึ้น ด้านเอกอัครราชทูตไซปรัสฯ ยินดีสนับสนุนการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ โดยไทยถือเป็นประเทศท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอับดับต้นๆ ของชาวต่างชาติ และพร้อมพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวร่วมกัน

ด้านความร่วมมือทวิภาคี และพหุภาคี นายกรัฐมนตรีเห็นว่าทั้งสองฝ่ายควรผลักดันความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนการเยือนในอนาคตเพื่อสร้างความใกล้ชิด กระชับความสัมพันธ์ให้มากขึ้น ขณะที่ด้านความร่วมมือพหุภาคี ทั้งสองฝ่ายยินดีที่กรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านไทย-EU (Comprehensive Partnership and Cooperation Agreement: PCA) ได้เจรจาและบรรลุข้อสรุป ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ควรมีการดำเนินการตามกระบวนการภายในให้ต่อเนื่อง เอกอัครราชทูตไซปรัสฯ ยินดีสนับสนุนการเจรจาในด้านต่างๆ ให้เป็นผลสำเร็จ ควบคู่กับการผลักดันกรอบความตกลงฯ ดังกล่าวด้วย โดยนายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณาเพิ่มช่องทางและโอกาสที่จะเกิดประโยชน์ร่วมกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติและขยายผลในระดับภูมิภาค รวมทั้งยกระดับความสัมพันธ์อาเซียน-EU ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งทั้งสองประเทศสามารถเป็นกำลังสำคัญในการเชื่อมโยงสองภูมิภาคให้เกิดความร่วมมือที่สร้างสรรค์ได้


กำลังโหลดความคิดเห็น