เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าในที่สุดแล้ว นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ จะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือไม่ก็ตาม แต่ก็เชื่อว่า จะต้องมีแรงกดดันออกมาจากสังคม โดยเฉพาะจะถูกตั้งคำถามในเรื่องมาตรฐาน “จริยธรรม” ของนักการเมือง ที่ต้องมี
ขณะที่ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย จะบอกว่า ต้องรอให้ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือให้พ้นจากตำแหน่งก็ตาม จึงยังไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีในตอนนี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอด และได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของเราด้วย โดยได้รับคำชี้แจงว่า อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะออก ไม่ออก อะไรต่างๆ หากศาลเห็นว่า มีเหตุผลความจำเป็นก็ต้องมีคำสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่เอง อันนี้เป็นขั้นตอนของศาลแล้ว เพราะวันนี้ได้อยู่ในกระบวนการเข้าไปแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้เสนอขอปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มี
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ กรณีบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติเขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี ต้องลาออกจากตำแหน่งหรือไม่ ว่า ไม่ต้องลาออกจนกว่าจะได้ความว่าผิด หรือวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง และหยุดปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อศาลรับคำฟ้องก็ไม่จำเป็นต้องลาออก จะต้องมีคำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือถ้าจะหยุดเองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนกับรัฐมนตรีหลายคนก็ถูกฟ้อง และอยู่ในศาลก็ไม่มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ส่วนการยุติการปฏิบัติหน้าที่ศาลจะเป็นผู้สั่ง ซึ่งแล้วแต่เรื่องทุจริต หรือเรื่องอะไร ดังนั้น เรื่องนี้ก็รอให้ศาลสั่งก็แล้วกัน
นั่นเป็นความเห็นในเชิงหลักการและกฎหมาย แต่สำหรับข้อหาที่ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ และบิดาของเธอ คือ นายสุนทร วิลาวัลย์ อดีต ส.ส.ปราจีนบุรี และปัจจุบันเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ที่เวลานี้ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ในข้อหาออกโฉนดที่ดินบุกรุกอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แม้ว่าล่าสุด นายสุนทร กำลังหลบหนีโดยบางข้อหากำลังจะหมดอายุความ ซึ่งต้องว่ากันต่างหาก
แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องเกี่ยวพันทั้งเรื่องของกฎหมาย จริยธรรมของนักการเมือง และการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” แม้ว่าขั้นตอนยังไม่จบ เฉพาะกรณีของ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในโควตาของพรรคภูมิใจไทย หากยังต้องรอคำสั่งศาลว่าจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร ว่าจะให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หรือต้องพ้นจากหน้าที่หรือไม่ อาจต้องรอนิดหนึ่ง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าไม่ต้องการก้าวล่วงดุลพินิจของศาลล่วงหน้า แต่หากให้คาดเดาก็เหมือนกับว่า น่าจะ “เหลื่อม” ไปทางหยุดปฏิบัติหน้าที่มากกว่า หากเทียบเคียงกับกรณีอื่นที่เคยเห็นมา แต่ถึงอย่างไรคำถามเรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะต้องถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจนิ่งเฉย หรือหลบเลี่ยงแบบนี้ไปได้ตลอด
เพราะหลังจากที่โดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดไปแล้ว นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ก็ไม่ให้ความเห็นใดๆ ออกมาเลย บรรยากาศที่กระทรวงศึกษาธิการ ในห้องทำงานของเธอก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ จนมีข่าวลือออกมาตลอดทั้งวัน เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ว่าเธอได้ยื่นใบลาออกแล้ว แต่ทั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้นสังกัดก็ยืนยันปฏิเสธว่า ยังไม่ลาออก เหมือนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ย้ำว่ายังไม่ได้รับเรื่อง
แต่หากมองข้ามช็อต หากมีการสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หรือ พ้นจากตำแหน่ง สิ่งที่ต้องตามมา ก็คือ “การปรับคณะรัฐมนตรี” ซึ่งถือว่าหากออกมาแบบนี้ก็น่าติดตามอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะต้องปรับตำแหน่งในโควตาพรรคภูมิใจไทยแล้วยังอาจเป็น “ไฟต์บังคับ” ให้ต้องปรับคณะรัฐมนตรีในพรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ที่เวลานี้ยังว่างอยู่สองตำแหน่ง
หากเป็นแบบนี้โอกาสที่จะเกิด “แรงกระเพื่อม” เกิดขึ้นมาอีกรอบก็เป็นได้ แม้ว่าหากให้ประเมินสำหรับพรรคภูมิใจไทย อาจจะไม่มีปัญหาด้วยซ้ำไป แต่ที่ต้องจับตาก็คือพรรคพลังประชารัฐนั่นแหละ เพราะอย่างที่รับรู้กัน ก็คือ ยังมีเรื่องกลุ่มก๊วน และยิ่งเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง มันก็ยิ่งต้องการเก้าอี้รัฐมนตรีสำหรับใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งในช่วงโค้งสุดท้าย
แม้ว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยืนยันมาโดยตลอดว่า ไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีที่ว่างลงสองเก้าอี้นั้น ก็จะปล่อยให้ว่างลงแบบนั้น พร้อมกับมอบหมายให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงกำกับดูแลอยู่แล้ว นั่นก็น่าจะเป็นเหตุผลอยู่ในตัวเองแล้วว่า ไม่อยากให้เกิดการกระเพื่อม หรือ ได้ไม่คุ้มเสีย
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากช่วงเวลาที่เป็นช่วงที่รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีกำลังจะถูกฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ มีการประกาศไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะยื่นญัตติในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ มันก็ยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ คงจะต้องคิดหนักเหมือนกัน ว่าจะเป็นการปรับแบบสองสามตำแหน่ง หรือจะปรับแค่ตำแหน่งเดียว
แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องขึ้นอยู่กับสมมุติฐานที่ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ลาออกหรือถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ก็สั่งให้พ้นจากตำแหน่ง อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกัน แม้ว่าผลทางกฎหมายอาจยังไม่ถึงที่สุด แต่คำถามเรื่องจริยธรรมก็ไม่สมควรมองข้ามแน่นอน !!