เมืองไทย 360 องศา
มาอีกแล้วสำหรับ “ม็อบ” ออกมาขับไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และพ้นจากอำนาจ รูปแบบการเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ผิดไปจากการเคลื่อนไหวคราวที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่มีที่มาแบบเดิม และยังเชื่อว่าในที่สุดแล้วจุดจบก็จะเป็นแบบเดิม
หลายคนคงแปลกใจที่จู่ๆ ม็อบพวกนี้ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ และขับไล่รัฐบาล เพราะหากพิจารณากันตามไทม์มิ่งแล้วถือว่า “ผิดธรรมชาติ” แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการชุมนุมอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องการเรียกร้องในปัญหาเฉพาะกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน ปัญหาเรื่องการออกกฎหมาย ที่ไปกระทบบางกลุ่มบางพวกจึงต้องออกคัดค้านต่อต้าน หรือเดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน ที่อยู่อาศัย หรือเรียกร้องราคาสินค้าการเกษตรตำต่ำ สารพัด ซึ่งก็พอฟังได้
แต่การที่มีม็อบพวกนี้ออกมาแล้วบอกว่าต้องการขับไล่รัฐบาล มีเป้าหมายขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่าผิดปกติ เพราะแม้ว่าการขับไล่ นายกฯสักคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกสามารถทำได้ แต่การที่ออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมจากสังคมส่วนใหญ่ จะมีก็เพียงแค่การนัดหมายกันในเฉพาะกลุ่มกันเองมันถือว่าผิดปกติ
แม้จะอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้เกิดปัญหาวิกฤต ข้าวยากหมากแพง แม้ว่าจะใช่ แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างไรก็ดี เมื่อคิดจะไล่ก็ไล่ไป ตามสบาย เพียงแต่ว่าการที่ม็อบแบบนี้ออกมามันถือว่าผิดเวลา และไม่ได้อารมณ์ร่วม
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากตารางเวลาเปรียบเทียบมันก็สามารถมองอย่างเชื่อมโยงกันได้ไม่ยาก นั่นคือ เป็นช่วงของการเปิดสภาสมัยสามัญ มันก็ทำให้มองเห็นถึงเรื่องการเมืองทั้ง “ใน” และ “นอกสภา” ตีถล่มเข้ามาพร้อมกัน ข้างนอกเป็นม็อบ ข้างในใช้เวทีสภาถล่มทุกทาง โดยเฉพาะอีกไม่กี่วัน ก็จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้จะเป็นรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล แต่ก็รับรู้กันอยู่แล้วว่าเป้าหมายหลักก็คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยต้องการให้ลาออก มากกว่ายุบสภา
เพราะเมื่อใดก็ตามที่ประธานสภาผู้แทนบรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้าระเบียบวาระ มันก็เหมือนกับการจับ พล.อ.ประยุทธ์ “ขึงพืด” เพราะไม่สามารถยุบสภาได้ ต้องรอการอภิปรายและรอลุ้นจากเสียงโหวต ว่าจะได้รับการสนับสนุนเกินครึ่งของ ส.ส.ในสภาหรือไม่ แม้ว่านาทีนี้ยังพอมั่นใจได้ว่าน่าจะผ่านไปได้ หากพิจารณาจากท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังไม่มีใครอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีความแน่นอน
แต่อย่างว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ รวมไปถึง “อุบัติเหตุ” ที่ไม่มีใครคาดคิดก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งก็คือ “ชิงยุบสภา” เสียก่อน มันก็เป็นไปได้ แม้ว่าจะน้อยนิดก็ตาม
เมื่อวกมาที่ม็อบ ที่พยายามใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” กลับมาอีกรอบ แต่เมื่อพิจารณากันให้ละเอียด มันก็จะมาในรูปแบบเดิมๆ นั่นคือ ใช้พวก “เด็กๆ” เป็นแนวหน้า และไม่ได้ผิดความคาดหมาย เพราะต้องเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเชื่อว่าเป้าหมายต้องการให้เกิดแบบนั้น ทางหนึ่งเพื่อต้องการให้เห็นภาพความรุนแรง โดยเฉพาะต้องการสื่อให้เห็นว่า “เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ” อะไรประมาณนั้น
แต่ทุกอย่างมันก็ต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป เหมือนกับ ม็อบที่ออกมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่ดูแล้วมันไม่ได้สร้างอารมณ์ร่วมกับสังคมเท่าใดนัก มันเหมือนกับการ “จัดตั้ง” กันมา อีกทั้งจำนวนก็มีเพียบ “หยิบมือ” เดียว ซึ่งแบบนี้มันก็ไม่มีทางสร้างพลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และในที่สุดก็จะเข้าอีหรอบเดิม ก็คือ เด็กพวกนี้ที่ก่อเหตุ ไม่ว่าจะต้นเหตุมาจากไหน แต่พวกเขาก็ต้องถูกดำเนินคดีอย่างโดดเดี่ยวต่อไปในวันข้างหน้า เพราะเด็กพวกนี้มันไม่ใช่ระดับแกนนำมีชื่อ
หรือแม้แต่จะพอมีชื่อ อย่างเช่น “เพนกวิน” นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา หรือ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่ถูกดำเนินคดีจนนับไม่ทัน จนในเวลานี้ก็ต้องยอมถอยออกมาในลักษณะต้องลดท่าทีลง ส่วนสำคัญก็เป็นเพราะ “ไม่มีแรงส่ง” อารมณ์สังคมยังไม่ได้
และคราวนี้ก็เช่นกัน มันก็คงไม่ต่างจากผู้ใหญ่บางคนที่ทำตัวเป็น “ไอ้โม่ง” ที่ชักใยเด็กๆออกมาเคลื่อนไหว “สนองความอยาก” ของตัวเองในอดีต ขณะที่ตัวเองไม่มีความกล้าพอ อีกทั้งยังเห็นว่าการดันหลังเด็กเป็นการสร้างภาพ “เด็กถูกกระทำด้วยความรุนแรง” เป็นเงื่อนไขให้กับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เหมือนก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี ก็มีท่าทีออกมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ผ่านทางโฆษกรัฐบาล แสดงความห่วงใย และเตือนว่าบรรดาผู้ชุมนุมซึ่งอาจมีเยาวชนเข้าร่วม และกระทำผิดกฎหมาย หากเจ้าหน้าที่สืบสวนตรวจสอบพบว่าผิดจริง และถูกดำเนินคดี เยาวชนเหล่านี้ก็จะเสียประวัติ เป็นการทำลายอนาคตตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงอยากเตือนสติขอให้คิดถึงวันข้างหน้า คิดถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง และผู้อื่นที่ได้รับความเดือดร้อนและไม่เกี่ยวข้องด้วย เวลานี้ทุกคนควรหันหน้ามาร่วมมือกันฟื้นฟูประเทศหลังโรคโควิดเริ่มคลี่คลายและแก้ไขปัญหาปากท้องที่มาจากวิกฤติโลก ไม่ใช่เวลาที่ควรสร้างความวุ่นวายซ้ำเติมโดยไม่จำเป็น
“รัฐบาลได้รับฟังเสียงสะท้อนจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ว่าไม่อยากให้เกิดภาพแบบนี้ขึ้นมาอีก ดังนั้น ผู้ที่คิดจะชุมนุมจึงควรตระหนักถึงผลที่ตามมาให้มาก ทั้งปัญหาการจราจรและการปะทะกัน แม้จะอ้างว่าเป็นการชุมนุมด้วยความสงบ และได้ประกาศยุติแล้ว แต่สุดท้ายก็มีผู้ชุมนุมบางส่วนเดินทางไปบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง และได้ก่อความวุ่นวายขึ้นทำลายรถของทางราชการ ตลอดจนมีการใช้พลุ ประทัดยักษ์ ลูกแก้ว ขวดแก้วปาใส่เจ้าหน้าที่รักษาความสงบบริเวณดังกล่าว ซึ่งการกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ และยังมีการใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ ก่อความวุ่นวายสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย เหมือนกับว่าไม่ยอมรับกฎ กติกา หรือกระบวนการที่ถูกต้องตามที่ตนเองเรียกร้องมาตลอด ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้หลายคน” นายธนกร กล่าว
ดังนั้น หากพิจารณากันให้เห็นภาพมันก็ต้องบอกว่า “คนชักใย” ม็อบคราวนี้ก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาที่ “อำมหิต” ใช้เด็กเป็นเครื่องมือสนองความอยากของตัวเอง ซึ่งในที่สุดก็จะจบลงแบบเดิม คือ ถูกดำเนินคดีอย่างโดดเดี่ยว ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังอยู่ในอำนาจต่อไป และทุกฝ่ายกำลังมองไปถึงการเลือกตั้งในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะมันเลยเรื่องการชุมนุมเรียกร้องไปแล้ว !!