เพจดัง ยกคำพูดประชาสัมพันธ์ให้ต่างชาติเที่ยว กทม.ของ “ชัชชาติ” ขณะ “ทะลุแก๊ส” ป่วนเมือง ก่อความ รุนแรง เผารถตำรวจ “โบว์” แสบ! นิยาม “ม็อบไร้แกนนำ” คือ “ไม่มีคนรับผิดชอบ” “ไพศาล” แนะเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
น่าสนใจเนอย่างยิ่ง วันนี้ (12 มิ.ย. 65) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพกลุ่มทะลุแก๊สก่อความรุนแรง เผารถตำรวจ พร้อมข้อความประชาสัมพันธ์เที่ยว กทม.ของ “ชัชชาติ” ระบุว่า
“ชัชชาติ : I think we're ready to welcome you to Bangkok, Thing is start opening up and i think There're a lot of opportunities here, The hotel still empty so you can get the good rate and it's not very crowded now, So it's really good time to come to Bangkok, Please come and we'll welcome you here
ผมคิดว่าเราพร้อมที่จะต้อนรับทุกคนมาที่กรุงเทพฯ ธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง และมีโอกาสมากมายที่นี่ โรงแรมต่างๆ ยังคงว่างอยู่และคุณจะได้ราคาห้องพักที่ดี และเงียบสงบไม่วุ่นวาย ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่คุณจะมาเที่ยวที่กรุงเทพฯ โปรดมาเที่ยวที่นี่แล้วเราจะต้อนรับคุณเป็นอย่างดี”
ทั้งนี้ เว็บไซต์สถาบันทิศทางไทย โพสต์สรุปไทม์ไลน์ม็อบ 11 มิ.ย. ป่วน คฝ.ขณะกระชับพื้นที่ โดย กล้วยน้ำว้า ระบุว่า
หลังจากช่วงเย็นวันที่ 11 มิ.ย. ที่ผ่านมา บรรยากาศของมวลชนที่ร่วมกิจกรรม “เดินไล่ตู่” เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อทำกิจกรรมแสดงสัญลักษณ์พร้อมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับยุบสภา และแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ต่อมาช่วงค่ำมีมวลชนบางส่วนแยกออกจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อมารวมตัวกันที่สามเหลี่ยมดินแดง ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรึงกำลังและเตรียมรถจีโน่ไว้ป้องกันเหตุ และรถขยายเสียงเพื่อประชาสัมพันธ์ บริเวณกรมดุริยางค์ทหารบกถนนวิภาวดีรังสิต
ทันทีที่ทางมวลชนเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลัง ก็ได้มีการขว้างปาขวดแก้ว ขวดน้ำ รวมทั้งปาประทัดเป็นระยะ
กระทั่งเวลา 19.00 น. กำลังเจ้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้เคลื่อนตัวกระชับพื้นที่ทั้ง 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านถนนวิภาวดีรังสิต ด้านถนนดินแดงมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ และด้านใต้ด่วนดินแดงบริเวณวัดสะพาน หน้าสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทำให้มวลชนกระจายตัวออกไป ปักหลักอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
และก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะถอยร่นย้ายไปเปิดฉากใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกทุบรถจุดไฟเผารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คัน ที่จอดอยู่บริเวณตรงข้ามตลาดศรีวานิช ส่วนเจ้าหน้าที่ล่าถอยเข้าไปจัดขบวนในซอยบุญอยู่ ขณะที่มีพลเมืองดีและวินจักรยานยนต์เข้าไปช่วยกันดับไฟ นำรถออกจากถนนเพื่อให้รถสามารถสัญจรได้
จนต่อมาเมื่อเวลา 20.30 น.เจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งเข้าเคลียร์พื้นที่ทางฝั่งซอยรางน้ำ โดยมีรายงานว่า จับกุมตัวผู้ชุมนุมที่ขับขี่ จยย.ได้บางส่วน จนสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม นับว่า นี่คือการกลับมารวมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุม และมีกลุ่มทะลุแก๊สอีกครั้ง ในรอบหลายเดือน หลังจากที่ช่วงเดือน ส.ค. 2564 ได้เปิดฉากปะทะเดือดที่แยกดินแดงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องจับตามองว่า ในวันอื่นๆ จะมีการชุมนุมอีกหรือไม่ และจะดุเดือดเปิดฉากถล่มเจ้าหน้าที่ คฝ.ด้วยหรือไม่ อีกทั้งจะเป็นการป่วนรบกวนชาวแฟลตดินแดง ที่เคยออกมาเรียกร้องให้ม็อบทะลุแก๊สหยุดการชุมนุมด้วย
ขณะเดียวกัน โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมอิสระ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ทวิตเตอร์ @NuttaaBow ระบุว่า
“ถ้ามีหลักการที่คงเส้นคงวา อะไรผิดก็พูดได้ทันทีว่ามันผิด ไม่ต้องรอดูว่า .. เอ๊ะเป็นพวกใครทำนะ? .. ตอนกระแสดี คนเชียร์เยอะ เราเรียกมันว่า สันติวิธีดีมั้ย .. มาทำผิดเวลาเสียบรรยากาศ เราเรียกมือที่สามละกัน
อย่าไปโรแมนติกกับคำว่า “ม็อบไร้แกนนำ” ม็อบไร้แกนนำที่ทำได้ คือ การนัดกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น วันนี้เราไปยืนเปิดไฟฉายพร้อมกัน รณรงค์เรื่องโน้นเรื่องนี้กันนะ ไปแล้วกลับ แต่ถ้าชวนกันเดินขบวนไปโน่นไปนี่แล้วไม่รู้จะไปเจออะไรข้างหน้าบ้าง มันไม่ใช่ม็อบไร้แกนนำ มันคือม็อบไร้คนรับผิดชอบ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ต้องรีบยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
1. ขณะนี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลตรงกัน ให้คืนความเป็นปกติแก่ประชาชน
เช่น การไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้ง การให้กิจการต่างๆ เปิดทำงานได้ตามปกติ โดยปฏิบัติตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย ให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้ตามปกติ
แต่ไม่มีคำตอบจาก พลเอก ประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
2. เงื่อนไขในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้หมดไปนานแล้ว การดำรงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงส่อว่าจะขัดกับพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน และขัดกับรัฐธรรมนูญด้วย แต่ที่เสียหายหนักกว่าก็คือ ความไม่ปกติของประเทศ และการทำมาหากินของประชาชนซึ่งได้รับความเดือดร้อนทุกเข็ญอย่างกว้างขวาง
3. ขณะนี้ทั่วโลกไม่มีใครประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน และได้คืนความเป็นปกติให้แต่ละประเทศทั่วทั้งโลกแล้ว
จึงไม่ควรฝืนความเป็นจริง เพราะมีแต่จะทำให้คนทั้งประเทศเห็นว่าการคงไว้ซึ่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็เพียงเพื่อการรักษาอำนาจทางการเมือง ซึ่งจะเกิดกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวาง และอย่างรวดเร็วด้วย
จึงควรเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยพลัน ก่อนที่ความรุนแรง และความเสียหายจะบานปลายไปมากกว่านี้
การถูกชาวบ้านด่าว่าเป็นเผด็จการ ทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ใช่เรื่องสนุกนะครับ”
แน่นอน, การคืน กทม.สู่ภาวะปกติ ทำให้ชาว กทม.ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก มีชีวิตชีวาเหมือนเดิม เป็นเรื่องที่ทุกคนเห็นด้วย
หรือแม้แต่การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถ้าเป็น “อุปสรรค” ต่อการใช้ชีวิตปกติของชาว กทม. ต่อนักท่องเที่ยวที่ต้องการความเป็นอิสระเสรีในการท่องเที่ยว ก็ควรยกเลิก เช่นกัน เพราะเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว เศรษฐกิจปากท้องของคนที่ทำมาหากินอยู่กับการท่องเที่ยว เป็นเรื่องสำคัญ
แต่ประเด็นอยู่ที่ ม็อบป่วนเมือง กลุ่มประท้วงเรียกร้องทางการเมืองที่ “นิยมความรุนแรง” เป็นภาพที่สวนทางอย่างยิ่งกับคำว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองสงบ ไม่วุ่นวาย มีความปลอดภัย
เพราะถ้าม็อบรบกับตำรวจ คฝ.ทุกวัน นักท่องเที่ยวคงมองไม่เห็นภาพนั้น ตามที่ประชาสัมพันธ์ ต่อให้อยู่ห่างพื้นที่ ปะทะกันก็ตาม แต่ก็มีข่าวทุกวัน หรือไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะไม่ลุกลามเข้ามามีผลกระทบกับพื้นที่ท่องเที่ยว
เรื่องนี้คิดอ่านกันอย่างไร??? ต้องให้ความเป็นอิสระต่อการชุมนุม (ม็อบ) ประท้วง เพราะได้ผู้ว่าฯ กทม. ที่มาจาก ประชาธิปไตย ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย หรือ ต้องหาที่ทางที่เหมาะสมในการแสดงออกเพื่อประชาธิปไตย โดยไม่สร้างผลกระทบ และไม่ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่า ไม่ปลอดภัย เอาอย่างไรดี
ถ้ามีคนลุกขึ้นมาคุมได้อยู่หมัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ถ้าคุมไม่ได้ ใครควรรับผิดชอบ ต่อไปต้องมีคนรับผิดชอบ และกล้ารับผิดชอบ?
ดูเหมือนปัญหาไม่มีอะไรมาก แต่ที่มีปัญหามาก เพราะม็อบไร้แกนนำ แต่ชักชวนกันไปที่นั่น ที่นี่ และนัดแนะกันผ่านสื่อโซเชียลอย่างเป็นขบวนการ อย่างที่ “โบว์” บอกเอาไว้ มันจงใจที่จะไม่มีคนรับผิดชอบหรือไม่
ต้องติดตามการแก้ปัญหาเรื่องนี้ของ “ชัชชาติ” ผู้ว่าฯ ที่ “สามนิ้ว” ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง!?