xs
xsm
sm
md
lg

"เดชา" สุดทนกลุ่มค้านนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด เชื่อศาลรับฟังข้อเท็จจริง เผยเตรียมระดมพลหักล้างข้อมูลให้ศาลพิจารณา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"เดชา" สุดทน กลุ่มค้านนำกัญชากลับเป็นยาเสพติด ระบุใช้ข้อมูลเท็จให้ศาลปกครอง กรณี THC จากช่อดอก 20% เชื่อศาลรับฟังข้อเท็จจริง ใช้รักษาโรค และประโยชน์ทางอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง เทียบเหล้า-บุหรี่ รักษาโรคอะไรได้ ทำไมไม่เรียกร้องเป็นยาเสพติด เผยเตรียมระดมพล หักล้างข้อมูลให้ศาลพิจารณา



วันนี้(7 มิ.ย.)นายเดชา ศิริภัทร ผู้อำนวยการมูลนิธิข้าวขวัญ ออกมาแสดงความเห็นกรณี กลุ่มหมอยื่นคัดค้านต่อศาลปกครองในการปลดล็อกกัญชา ตามประกาศรายชื่อยาเสพติดประเภทที่ 5 ที่จะมีผลวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งด้วยเหตุผลหลายอย่าง พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายยาเสพติด 2564 ผ่านการพิจารณาของตัวแทนของประชาชนเป็นสภาผู้แทนราษฎร รัฐสภา จนกระทั่งมันออกมาเป็นพระราชบัญญัติ และรายชื่อที่จะประกาศวันที่จะเริ่มใช้วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการยาเสพติดของชาติซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้ลงมติกันแล้วว่า ให้รายชื่อดังกล่าวออกจากยาเสพติดประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งเขาให้เตรียมตัวมา 120 วัน จนประชาชนรอมาจนถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ประชาชนเตรียมไว้หมดแล้วว่าคนไหนจะแจ้ง คนไหนจะปลูก คนไหนจะใช้ประโยชน์ แล้วอยู่ดีดี มีคนกลุ่มเดียว กลุ่มเล็กๆเอง ถึงแม้จะเป็นแพทย์หรือไม่เป็นแพทย์ประจำแต่ มาคิดแทนประชาชนบอกว่า ยังไม่ต้องใช้ รอไปก่อน รอกฎหมายเกี่ยวกับกัญชงกัญชาที่ยังไม่เสร็จ

"ผมไม่เห็นอย่างยิ่งเพราะว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรที่มันมีน้ำหนักที่จะมาจ้องมาหยุด จะอ้างว่ามันจะมีกฎหมายประกอบ อะไรที่จะต้องมาหยุดอีก กฎหมายที่ผ่านมาอย่างถูกต้องกี่เดือนแล้ว แล้วถามว่าตอนที่เขาประกาศมา ในราชกิจจา ทำไมคุณไม่คัดค้านมาตั้งแต่ตอนนั้น ล่ะครับ ทำตอนนี้เพื่อให้ประชาชนนี่นะ ไม่มีเวลาจะมาแก้ไขเพราะคุณเล่นมาให้ศาลตัดสินตอนจะถึงวันที่ 9 มิ.ย. กับคนเล่นแบบนี้แสดงว่าคนมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์หรือไม่ อย่างนั้นคุณก็เขียนตั้งแต่ 120 วันที่แล้ว คุณไม่มีปฏิกริยาอะไรเลยเนาะ จนกระทั่งอีก 3 วันจะประกาศนะครับ ถูกตามกฎหมายแล้วนี่นะ คุณมาประกาศตอนนี้นะครับ อ้างอย่างเดียวว่ามันจะทำให้เกิดผลเสียซึ่งไม่ชัดเจนมันจะเสียอะไร"


นายเดชา กล่าวว่า ข้อมูลที่นำมาอ้างก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว แล้วคุณบอกว่าฉันเมา THC อยู่ในช่อดอกนี่ผิดกฎหมาย วันที่ 9 มิ.ย. จะถูกกฎหมายนะ คุณบอกว่ามีตั้ง 10-20 % ของน้ำหนัก นี่คุณพูดผิดไปจากข้อเท็จจริงไปอย่างให้อภัยไม่ได้เลย เพราะคุณเป็นถึงแพทย์ที่จะไปร้องเรียนต่อศาลคุณยังไม่รู้เลยว่า 10 หรือ 20 % มันแค่น้ำมันนะครับ น้ำมันกัญชาที่สกัดได้นี่ไม่เกิน 20% และน้ำมันกัญชา 20 % อย่างมากก็ไม่เกิน 30% ของ 20% มันกี่ % ข้อมูลง่ายๆ แบบนี้คุณยังอ้างผิด แล้วคุณจะมาอ้างอย่างอื่นได้อย่างไรว่ามันยังเหตุผลที่เสียมาเยอะแยะถ้ากฎหมายบังคับใช้ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น

นายเดชา กล่าวว่า กฎหมายที่บอกว่ารอ ถามว่าแล้วมีกำหนดไหมว่ามันจะออกมาเมื่อไหร่ ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนกระท่อม ออกจากยาเสพติดบอกให้บังคับใช้หลังจากที่ประกาศ 90 วัน แล้วจะมีกฎหมายกระท่อมมากำกับ กฎหมายรอมาตั้ง 2 ปีแล้วยังไม่ออกสักทียังติดอยู่ในสภาฯ นั่นแหละ ขนาดกระท่อมนะ แล้วถ้ากัญชา ที่คุณให้เรารอนี่ คุณบอกได้ไหมจะรออีกสักกี่ปี กี่เดือน

ส่วนผลเสียถ้ายังไม่เอากัญชา ออกจากยาเสพติด นายเดชา กล่าวว่า ข้อแรกคือพวกคุณละเมิดสิทธิของบุคคลที่เขาควรได้รับสิทธิ คือคนที่รับโทษจากคดีกัญชา อยู่ในคดี อย่างน้อย 4,000 คน เขาไม่ได้รับอิสรภาพจากการกระทำของพวกคุณ คุณเล่นมาขวางให้ระงับไว้ก่อน ให้เอากัญชาอยู่ในบัญชียาเสพติดแบบเก่า

"นักโทษเหล่านั้นก็ยังติดคุกอยู่ต่อไปนั่นแหละอีก 4,000 คน คุณไม่ได้คิดถึงเขาเลยว่าสิทธิของเขามันถูกละเมิด เขาออกแล้ว ตามกฎหมาย คุณไประงับให้เขาติดคุกอีก"

นายเดชา ได้กล่าวเปรียบเทียบโทษของกัญชากับเหล้า และบุหรี่ อันไหนมากกว่ากัน ว่า ถามหมอง่ายๆ ถ้าคุณเป็นหมอจริง 1.บุหรี่ มันทำให้เกิดโรคกี่โรคลองตอบมาซิ แค่ข้างซองที่เขาพิมพ์ก็นับไม่ถ้วนแล้ว 2.เหล้า ทำให้เกิดโรคกี่โรค 3.เหล้าทำให้เกิดอาชญากรรม ทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แต่ละปี 4. บุหรี่รักษาโรคได้กี่โรค อะไรบ้างสักโรคไหม 5.เหล้ารักษาโรคได้กี่โรค อะไรบ้าง แต่พวกนี้ไม่อยู่บัญชียาเสพติด ค้าขายกันเสรี ที่ไหนก็มี ที่ไหนก็มี

อยากให้เปรียบเทียบ 1.กัญชา ทำให้เกิดโรคกี่โรค คุณลองบอกมา ทำให้เกิดกี่โรค 2.กัญชารักษาโรคได้หรือเปล่า ไม่ต้องต่างประเทศ แค่ประเทศไทย แพทย์แผนไทย 2 ปีมานี่ คนเกือบ 2 แสนราย รักษาโรค 8 โรค เกิน 80% ไปดูข้อมูลสิ ถาม รพ.จุฬาลงกรณ์ ก็ได้ข้อมูลเป็นอย่างไร ทำไมต้องเอาไปเข้า 30 บาทรักษาทุกโรค เทียบแค่นี้ก็รู้แล้วว่ากัญชาไม่มีโทษ มีแต่ประโยชน์ แต่ว่าไอ้เหล้าบุหรี่ไม่มีประโยชน์มีแต่โทษ คุณไม่เคยคัดค้านว่าทำไมไม่เข้ายาเสพติด เหตุผลพวกนี้ไม่มีข้อมูลหรือไง แบบนี้คุณเป็นหมอหรือเปล่าถ้าเป็นหมอทำไมไม่รู้ข้อมูลแบบนี้


ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ยืนยันว่า การให้ปลดล็อกวันที่ 9 มิ.ย.ไปก่อน แล้วมาทำกฎหมาย จะทำให้ประชาชนเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากกัญชาได้ แต่ถ้าไม่ปลดล็อกแล้วรอกฎหมาย ระหว่างนี้กัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ ประชาชนใช้ประโยชน์ไม่ได้ คนใช้ประโยชน์จะมีจำกัดมาก คือ หมอ ราชการ แล้วประชาชนเข้าถึงก็พวกใต้ดินจะเฟื่องฟูเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์ที่จะไปรอกฎหมายที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะเสร็จ เราก็ใช้ไปตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่มีอยู่ไปก่อน เหมือนกระท่อม 2 ปีแล้วไม่มีกฎหมายไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถ้ากัญชายังเป็นยาเสพติดประชาชนเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย ไม่ว่าทำอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ทำยาใช้เองเล็กๆน้อยๆ ทำไม่ได้เลยต้องขออนุญาตราชการ เงื่อนไขเยอะแยะมากมายมหาศาล ซึ่งไม่ควรจะมีอีกแล้ว 2 ปีที่ผ่านมาเราก็เห็น ที่ผ่านมาตอนพิจารณาประมวลกฎหมายยาเสพติด ในสภาเห็นพ้องกันว่า กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดไม่มีคนค้านสักคนเดียว แล้วจะเอาไปเป็นยาเสพติดอีกทำไม มันมีเหตุผลอะไรจะต้องไปล็อกไว้อีก

"ถ้ามองแง่ร้าย คนบางกลุ่มมองหมอกลุ่มนี้ว่าเสียประโยชน์หรือไม่ เพราะยาสมัยใหม่ที่มาจากต่างประเทศ หมอพวกนี้เขาใช้อยู่ จึงต่อต้าน บางกลุ่มมองแบบนั้น แต่ผมไม่ได้มองแบบนั้น หมอพวกนี้อาจจะเข้าใจว่ากัญชาเป็นยาเสพติดจริงๆ เขาเลยไม่เห็นด้วย ที่จะเอากัญชาออกจากยาเสพติด เขาเห็นว่าควรนำกลับไปเป็นยาเสพติดโดยวิธการต่างๆ เช่นประวิงเวลาให้ช้าที่สุดรอกฎหมายออกซึ่งจะไปประวิงกฎหมายอีกแบบกระท่อม ไม่ให้ออก เข้าใจว่ามีกลุ่มไปประวิงเวลาไว้ซึ่งกัญชาก็คงเป็นแบบเดียวกัน โดยไปร้องศาลปกครอง แล้วไปประวิงเวลาพิจารณากฎหมาย ให้ช้าที่สุด โดยระหว่างนี้ หวังหรือหาเหตุการณ์ที่ทำให้คนเชื่อว่ากัญชามีโทษ และเป็นยาเสพติดอยู่ ก็จะอาศัยให้อยู่ในบัญชียาเสพติดต่อไป เพราะถ้าอยู่แล้ว จะเอาออกมันยาก เขาเลยอยากให้อยู่"

ส่วนการจะออกมาคัดค้านกลุ่มที่ไปร้องศาลปกครอง นายเดชา กล่าวว่า ทราบว่าขณะนี้มีหลายกลุ่มจะเคลื่อนไหว ส่วนกลุ่มของตนจะรอดูก่อนว่า ศาลปกครองจะพิจารณาแบบไหน หากระงับรายชื่อ การนำกัญชาออกจากยาเสพติด และให้เป็นยาเสพติด เราจะเริ่มเคลื่อนไหว โดยระดมคนเห็นด้วยกัน ซึ่งมีไม่น้อยไปเรียกร้องให้ศาลปกครองตัดสินใหม่ตามความต้องการของประชาชน โดยยกเหตุผลมีน้ำหนักมากกว่าเอาไปหักล้าง ซึ่งอันนี้เป็นสิทธิ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คงไม่อยู่นิ่ง เพราะเป็นตัวแทนประชาชนคงร่วมด้วยกับพวกเรา และจะได้เห็นว่า ศาลปกครองจะฟังความข้างเดียวหรือจะพิจารณาจากหลักฐานภาคประชาชนซึ่งมีให้เยอะแยะ ไม่ใช่ข้อมูล THC มี 10-20% ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ 100% ถ้าศาลปกครองรับฟังเราจะเอาข้อมูลจริงไปให้ดูเลยว่าข้อเท็จจริงเป็นแบบไหนหักล้างกันและเปลี่ยนคำตัดสิน

"ผมเชื่อว่าศาลปกครองคงไม่ตัดสินโดยใช้ข้อมูลเป็นเท็จแน่ๆ เราเชื่อไว้ก่อนว่าจะตัดสินตามข้อมูลจริง ขณะนี้ประชาชนทั่วไปรอฟังข่าวสาร ส่วนพวกที่เคยใช้กัญชารักษาโรค ซึ่งมีจำนวนมากเป็นแสนคน ให้รอฟังและเมื่อกลุ่มเราเคลื่อนไหวให้ออกมาช่วยกัน" นายเดชา กล่าว

นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์​สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha เกี่ยวกับการใช้กัญชาว่า การใช้กัญชาอย่างชาญฉลาด ทำไมโรคสะเก็ดเงินได้ผล?

การรักษาแบบปัจจุบันด้วยการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งควบคุมโรคได้จำกัดและมีผลแทรกซ้อน ดังนั้นผู้ป่วยไม่ว่าจะเป็นในเมืองไทยเองหรือในต่างประเทศ จำเป็นต้องหาทางเลือกเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง ด้วที่มีรายงานมาเรื่อยๆว่าได้ผล และนั่นคือที่มาของการใช้กัญชาไม่ว่าจะเป็นการทาอย่างเดียวหรือใช้ร่วมกับการหยดร่วมด้วย

ทำไมกัญชาใช้ได้ผลใน โรคอื่นๆ อีกเช่นโรคพุ่มพวง?

โรคพุ่มพวง SLE เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายวิปริต และไปทำลายร่างกายตนเองตั้งแต่หัวจดเท้า ผม ผิวหนังปอด หัวใจ ตับ ไต สมองเส้นเลือด

กัญชามีฤทธิ์ในการปรับภูมิคุ้มกันโดยไม่ใช่เป็นการกดหรือเพิ่มจะเป็นการปรับสมดุลให้เหมาะสม immunomodulator

ดังนั้นกรณีที่คุณหมอเสริฐที่จังหวัดอุทัยธานีเริ่มเห็นประโยชน์ของกัญชามาจากการที่ช่วยบุคลากรในโรงพยาบาลเองจากโรคนี้

ทำไมกัญชาใช้ประโยชน์ได้ในโรคทางสมองเสื่อมเช่นโรคอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน?

ทั้งนี้เพราะว่าโรคที่เรียกว่าสมองเสื่อมในความเป็นจริง แล้วปัจจัยที่สำคัญที่เร่งให้เกิดโรค เป็นเรื่องของการอักเสบจากในร่างกายนอกสมอง และเป็นเรื่องของการอักเสบที่เกิดขึ้นจากเซลล์ในสมอง

ทั้งหมดนี้ทำร้ายระบบเส้นเลือดรวมทั้งทำร้ายระบบในการกำจัดขยะหรือของเสียในสมอง

นอกจากระบบการอักเสบที่กัญชาเข้าไปควบคุมสมดุลแล้วมีอะไรอีกอย่างอื่นหรือไม่?

ตัวรับกัญชาในร่างกายแทรกอยู่ในทุกระบบไม่ว่าจะเป็นในระบบประสาทหรืออวัยวะอื่นๆและอยู่ในเซลล์และอยู่ในอนุภาคในเซลล์ที่ควบคุมการปรับพลังงานของเซลล์ในทุกอวัยวะ

เพียงแต่ตัวรับกัญชาในร่างกายอย่างเดียวก็จะทำการปรับสมดุลของสารที่เชื่อมต่อสัญญาณ ระหว่างเซลล์หนึ่งของระบบหนึ่งไปยังอีกเซลล์ในระบบอื่น

และนอกจากนั้นสัญญาณที่ส่งมายังไปกระตุ้นการสร้างกัญชาตามธรรมชาติในร่างกายตามระบบซึ่งสร้างขึ้นมาและทำงานในช่วงระยะหนึ่งๆและหยุดไปเมื่อการทำงานนั้นเสร็จสิ้น

ดังนั้นกัญชาที่ใส่เข้ามาจากภายนอกจะใช้ในปริมาณน้อยนิดเพื่อปลุกการสร้างกัญชาในร่างกายให้ทำงานได้ ให้สอดประสานกันในทุกระบบของร่างกาย

จำเป็นหรือที่กัญชาจะสามารถใช้ได้ใน 4 โรคใน 39 โรค?

การใช้กัญชานั้นจะใช้ได้อย่างชาญฉลาดและได้ประโยชน์สูงสุด คือการทราบว่าโรคนั้นๆต้นเหตุนั้นๆ มีกลไกอย่างไรและกัญชาจะเข้าไปสอดแทรกในการปรับสมดุลได้อย่างไร

และที่สำคัญก็คือรู้ขนาดรู้วิธีการใช้รู้ว่าจะไปตีกับยาปัจจุบันที่ใช้อยู่แล้วหรือไม่

ดังนั้นการแพทย์ไทยที่จารึกไว้เป็นตำรับตำราหลาย 100 ปี จะถ่ายทอดให้ลูกให้หลานและมีประโยชน์สำหรับหลายภาวะ หลายโรคด้วยกัน

ในเรื่องของความปวดสามารถควบคุมการอักเสบที่เป็นต้นตอและปรับกระบวนการสื่อความปวดในทุกระดับจากใขสันหลังจนกระทั่งถึงระบบประสาทสมอง

ในเรื่องของโรคลมชักจะตรงไปตรงมาในเรื่องของการปรับสารสื่อประสาทในสมองโดยตรง

กัญชารักษาโรคมะเร็งได้หรือไม่?

รายงานจากทั่วโลกในผู้ป่วยมะเร็งที่หมดหวังรวมทั้งถึงผู้ป่วยในประเทศไทยกัญชาช่วยได้แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งการรักษาแผนปัจจุบันแต่ถ้าเป็นการควบรวมด้วยกันน่าจะเป็นการได้ประโยชน์สูงสุดและในกรณีที่หมดหวัง เป็นสิทธิ์ของคนไข้ที่จะเลือกกัญชาในการรักษาคุณภาพชีวิตตนเอง

มีรายงานทางวิทยาศาสตร์หรือไม่. แน่นอนการรายงานถึงกลไก แต่กระนั้น
ไม่มีใครสามารถเข้าใจถึงความแยบยลของกัญชาจากภายนอกที่กระตุ้นระบบกัญชาภายในและไปสั่งงานให้ร่างกายกำจัดเซลล์มะเร็ง

การศึกษาของมหาวิทยาลัยรังสิตในสัตว์ทดลองสามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถรักษามะเร็งปอดในสัตว์ทดลองได้

ต้องรอรายงานการรักษามะเร็งด้วยกัญชาอีกต่อไปนานแค่ไหน?

คนไทยคงไม่ทราบว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ของอังกฤษร่วมกับญี่ปุ่นยื่นคำร้องขอจดสิทธิบัตรกัญชาในการรักษามะเร็งเต้านมลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมากตั้งแต่ปี 2554 และถึงแม้จะถูกประกาศด้วยมาตรา 44 แต่มีกระบวนการยื่นคัดค้านได้ได้

ขณะที่คนไทยบางกลุ่มที่ทำการต่อต้านการใช้กัญชารักษามะเร็ง แต่บริษัทยาต่างชาติกำลังจะฮุบ กัญชาในการรักษามะเร็ง

และผลิตยากัญชาสำหรับรักษาอาการปวดและรักษาโรคลมชักที่ดื้อยาออกมาแล้วซึ่งราคายาคือ 30,000 ถึง 40,000 บาทต่อเดือนต่อคน

และคนไทยบางส่วนนอกจากต่อต้านกัญชาที่ทำจากสมุนไพรไทยยังอ้าแขนรับกัญชาจากบริษัทเหล่านี้ที่กำลังจะฮุบสิทธิบัตรกัญชาของไทย

คนไทยบางส่วนนี้ กำลังคิดอะไรอยู่?

ถ้ามัวแต่ถามว่าจะใช้ได้ในโรคอะไร ?

เพียงถามตัวเองว่าที่เจ็บป่วยขณะนี้ได้ประโยชน์เต็มที่หรือไม่จากการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน

สามารถบรรเทาอาการเต็มที่ได้หรือไม่จากการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน
และนี่คือที่มาของการใช้กัญชาทางการแพทย์
ไม่ต้องรู้วิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน
แต่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเจ็บป่วย ลูกตัวเองกำลังจะตาย ต้นเองกำลังจะเสียชีวิต

เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการใช้กัญชา

กรุณาอย่าถาม
กรุณาอย่าอ้างว่ายังไม่มีรายงานในวารสาร
ลองไปดูคนไทยที่เจ็บป่วยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากกัญชา

....เท่านั้นก็พอ

ด้าน รศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เขียนบทความเรื่อง “ความจริงเกี่ยวกับ “ผลเสีย” ของกัญชา : หลักฐานจากงานวิจัย” โดยการคัดบางส่วนและปรับปรุงจากเอกสารประกอบการนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ปัญหากัญชา กัญชง กระท่อม สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ปรับปรงุเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2565 มีรายละเอียดดังนี้

มีความพยายามบิดเบือน โจมตีกัญชาว่ามีผลเสียต่างๆ อย่างต่อเนื่อง มีองค์กรจัดสรรทุนวิจัยให้เต็มที่และมีสื่อให้ลงเผยแพร่กว้างขวาง ความพยายามนี้มีมาตั้งแต่ 85 ปีก่อน ริเริ่มโดยกลุ่มอิทธิพลในสหรัฐอเมริกา เพื่อผลักดันให้กัญชาเป็นยาเสพติด ผิดกฎหมาย ทั้งที่ชาวโลกใช้ประโยชน์จากกัญชามานานนับพันปี เหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริงของการโจมตีน้ัน คือ การพยายามขจัดคู่แข่งของยาเคมีและทำลายการพึ่งตนเองของ ประชาชน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตน

ปัจจุบันมีงานวิจัยจำนวนมาก ที่สามารถหักล้างข้อกล่าวหาต่างๆ เหล่าน้ันแล้ว ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1) ข้อกล่าวหา:กัญชาคือยาเสพติดร้ายแรง และนำไปสู่ยาเสพติดร้ายแรงอื่นๆ (Gateway drug)
ความจริง:กัญชามีฤทธิ์เสพติด “น้อยกว่า” กาแฟ คนที่ใช้กัญชา 100 คน มีโอกาสที่จะภาวะพึ่งพากัญชา เพียงร้อยละ 9 (ที่ใช้ต่อเนื่องเพราะกัญชามีสรรพคุณช่วยรักษาบรรเทาโรคและอาการต่างๆ)

เมื่อเลิกใช้กัญชาจะไม่มีอาการลงแดง อาจจะมีอาการเพียงนอนไม่หลับระยะเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้กัญชาทดแทนเพื่อเลิกยาเสพติดร้ายแรงอื่น ๆ ได้เช่น สุรา เฮโรอีน ยาบ้า ยาแก้ปวดที่ทำจากฝิ่นได้ อีกด้วย (Exit drug) (ภาพที่1)


2) ข้อกล่าวหา: กัญชาทำให้ผู้ใหญ่สมองเสื่อม
ความจริง :กัญชามีสรรพคุณปกป้องสมอง รักษา บรรเทาอาการ โรคทางสมองและระบบประสาทในผู้ใหญ่ เช่น โรคลมชัก พาร์กินสัน อัลไซเมอร์

3) ข้อกล่าวหา: กัญชาทำให้เด็กสมองเสื่อม สติปัญญาต่ำ
ความจริง :กัญชามีสรรพคุณปกป้องสมอง รักษา บรรเทาอาการโรคทางสมองและระบบประสาทในเด็ก เช่น โรคลมชัก สมาธิสั้น ออติสติก การทำงานของสมองดีขึ้น

การวิจัยเพื่อเปรียบเทียบเด็กแฝด จำนวน 1,989 คู่ เปรียบเทยีบคนที่ใช้และไม่ใช้กัญชา พบว่า ไม่พบความแตกต่างเรื่องสติปัญญาและความสามารถในการทำงาน (Executive function)

4) ข้อกล่าวหา:กัญชาทำให้เป็นโรคจิต
ความจริง :การทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์แบบอภิมาน (meta-analysis) พบว่า การใช้กัญชาไม่สัมพันธ์กับการเกิดโรคจิต (มีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้องมากกว่า) การศึกษาของมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์และคิงส์คอลเลจ ประเทศอังกฤษ พบว่า ประเทศอังกฤษมีคนใช้กัญชาเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า ในระยะเวลา 10 ปีที่ ผ่านมา แต่สถิติการเป็นโรคจิตกลับมีแนวโน้มลดลง คนที่เป็นโรคจิต คือ คนที่มีพันธุกรรมเสี่ยงที่จะเป็นอยู่แล้ว และบริโภคอัลกอฮอล์ หรือยาเสพติดตัวอื่นๆ (ภาพที่2)


การทดลองทางคลินิกแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCT) 2 ชิ้นพบว่า กัญชา(แคนนาบิไดออล) มีสรรพคุณในการรักษาโรคจิตได้ดี ได้ผลพอๆ กับยาแผนปัจจุบัน และมีผลข้างน้อยกว่า จึงพบว่าคนไข้โรคจิตจะใช้กัญชาเพราะทำให้อาการเขาดีขึ้น

การโจมตีกัญชาว่า กัญชาทำให้เกิดโรคจิตนี้ ยังคงมีมากในปัจจุบัน และทำให้แพทย์หลายคนไม่กล้าใช้

5) ข้อกล่าวหา :กัญชาทำให้คนฆ่าตัวตายมากขึ้น
ความจริง :ในสหรัฐ มลรัฐที่แก้ กม.กัญชาทาให้คนฆ่าตัวตาย “น้อยกว่า” รัฐที่ยังไม่แก้ กม. เพราะกัญชาช่วยลดการปวดทรมาน และช่วยลดความเครียด

6) ข้อกล่าวหา : กัญชาทำให้เป็นโรคเส้นเลือดสมอง
ความจริง :คนใช้กัญชาเป็นโรคเส้นเลือดสมอง “น้อยกว่า” คนไม่ใช้ (ร้อยละ 7.9 เทียบกับ 15.7) นั่นคือ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดสมอง

7) ข้อกล่าวหา :กัญชาทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด
ความจริง : คนใช้กัญชาเป็นโรคหัวใจขาดเลือด “น้อยกว่า” คนไม่ใช้ (ร้อยละ 6.8 เทียบกับ 15.0) นั่นคือ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด

8) ข้อกล่าวหา:กัญชาทำให้เป็นมะเร็ง
ความจริง :คนใช้กัญชาเป็นโรคมะเร็งบริเวณคอและศีรษะ โรคมะเร็งปอด ไม่แตกต่างจากคนที่ไม่ได้ใช้ (ปัจจัยอื่นๆ มีความเสี่ยงมากกว่า เช่น สุรา บุหรี่) แต่กลับพบว่ากัญชามีสรรพคุณ ช่วยลดอาการต่างๆ ของโรคมะเร็ง เช่น อาการปวด เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ และใช้เสริมการรักษาโรคมะเร็งแบบอื่นๆ ให้ได้ผลดี ลดอาการแทรกซ้อนจากการใช้เคมีบำบัดและการฉายแสง ลดการแพร่กระจายของมะเร็ง

9) ข้อกล่าวหา : กัญชาช่วยแก้ปวดสู้ยามอร์ฟีนไม่ได้
ความจริง :กัญชามีฤทธิ์แก้ปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีน มีผลแทรกซ้อนน้อยกว่ามอร์ฟีน ทำ ให้หยุดมอร์ฟีนได้ แต่บางกรณีใช้ร่วมกันจะได้ผลดียิ่งขึ้น

10) ข้อกล่าวหา: กัญชาทำให้ไตเสื่อม
ความจริง : กัญชาไม่ทำให้ไตเสื่อม แต่ช่วยฟ้ืนฟูไตท่เสื่อมจากการอักเสบได้

11) ข้อกล่าวหา:กัญชาทำให้ตับเสื่อม
ความจริง : กัญชาไม่ทำให้ตับเสื่อม กัญชาช่วยฟ้ืนฟูตับที่เสื่อมจากการอักเสบได้

12) ข้อกล่าวหา:กัญชาทำให้เป็นหมัน
ความจริง : คณะวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดวิจัยในผู้ชาย 662 คน พบว่า คนใช้กัญชามีจำนวนอสุจิ “มากกว่า” คนที่ไม่ใช้กัญชา กัญชามีสรรพคุณรักษาโรคเยื่อบุมดลูกเติบโตนอกผนังมดลูก (Endometriosis) ทำให้มีอาการปวดประจำเดือน และเป็นหมัน เมื่อใช้กัญชารักษาโรคนี้หาย ทำให้กลับมามีลูกได้

13) ข้อกล่าวหา : การใช้กัญชาระหว่างการตั้งครรภ์ทำให้เด็กทารกในครรภ์มีปัญหาทางสมอง
ความจริง :การศึกษาในประเทศจาไมก้า โดย ศาสตราจารย์ Melanie Dreher คณบดีของคณะพยาบาลศาสตร์ ที่ชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา พบว่า เด็กทารกที่เกิดจากมารดาที่สูบกัญชาในระหว่างการต้ังครรภ์มีสมองและพัฒนาการที่ดีกว่ากลุ่มควบคุม และการวิจัยงานวิจัยอย่างเป็นระบบท่ใช้ข้อมูลจากงานวิจัยทุกประเภทอย่างรอบด้าน จำนวน 1,001 งาน พบว่า การใช้กัญชาในระหว่างการตั้งครรภ์ไม่ได้ทำให้เด็กมีปัญหาทางสมอง

14) คำถาม: กัญชาไม่มีข้อเสียเลยจริงหรือ
คำตอบ: ข้อเสียของกัญชา คือ ถ้าใช้เกินขนาด จะมีอาการเมา และง่วงนอน แต่มีวิธีป้องกัน โดยควรเริ่มใช้ดื่มยาขนาดน้อยๆ และค่อยๆ เพิ่มขนาดช้าๆ จะไม่เมา ถ้ามีอาการเมาก็ให้ลดขนาดลง แก้ฤทธ์เิมาได้ด้วยการน้ำมะนาว หรือเข้าไปนอนพัก เพียง 12-20 ชั่วโมงก็จะสร่างเมา หายเป็นปกติ

ผู้ป่วยที่ใช้ยากัญชาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากขนาดน้อยๆ กินแค่วันละครั้งหลังอาหารเย็น ค่อยๆ เพิ่มขนาดทุก 3-4 วัน ให้เวลาร่างกายได้ปรับตัวสัก 1 สัปดาห์ จะไม่มีอาการเมาเลย นอกจากนี้ถ้าประสงค์จะใช้รักษาอาการเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรง สามารถใช้ใบสดมาปั่นกับผักผลไม้อื่น ๆ หรือนำมาชงเป็นชารับประทานก็ได้ จะไม่มีอาการเมาเลย

มีการทบทวนงานวิจัยจำนวนมากกว่า 190 ชิ้น พบว่า กัญชามีความปลอดภัยในระยะยาวสูงมาก

ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับยาเคมีที่กันเป็นประจำในปัจจุบัน เมื่อมีการทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบ (Systematic review) พบว่า ยาเคมีที่ใช้เป็นสาเหตุการตายจำนวนมาก

พบว่ายา 7 ตัวต่อไปนี้ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คิดเป็นร้อยละ 47 ได้แก่ 1. Methotrexate 2. Warfarin 3. NSAID 4. Digoxin 5. Opioid 6. ASA 7. Beta-blockers

และยากลุ่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการยา 10 ตัวแรก ที่เป็นสาเหตุการตายถึงร้อยละ 73 ของการตายจากยาทั้งหมด

ยาเคมีมีอันตรายมากขนาดนี้ แต่กลับไม่มีมาตรการควบคุมที่เคร่งครัดใดๆ เลย

การใช้กัญชาร่วมกับยาเคมีอื่นๆ ที่ฤทธิ์คล้ายกันจะไปเพิ่มฤทธิ์นั้นๆ ได้ ดังนั้นจึงควรลดขนาดยาเคมีลง โดยค่อยๆ ลดปริมาณ จะได้ประโยชน์ในการลดผลเสียและภาวะแทรกซ้อนจากยาเคมี

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของการแก้กฎหมายกัญชา
มีข้อห่วงกังวลว่าการเปิดให้นำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์จะทำให้เกิดผลกระทบทางลบต่างๆ ทางสังคม เช่น เพิ่มอุบัติเหตุ เพิ่มอาชญากรรม ฯลฯ ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยในประเด็นต่างๆ เหล่านี้แล้ว พบว่า เกิดผลดีมากกว่าผลเสีย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

อัตราตายจากมอร์ฟีน ยาที่เข้าฝิ่น และมอร์ฟีนสังเคราะห์ลดลง
มลรัฐที่แก้กฎหมายแล้ว อัตราตายจากมอร์ฟีนลดลง เพราะใช้ยากัญชาทดแทน (ภาพที่3)


การตายจากอุบัติเหตุลดลง
การแก้กฎหมายกัญชาในสหรัฐ ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน “ลดลง” ร้อยละ 8-11 เมื่อคำนวณโดยใช้จำนวนไมล์ของการเดินทางเป็นตัวหาร จะพบว่าอัตราตายจากอุบัติเหตุในรัฐที่แก้กฎหมายแล้วมีจำนวนลดลง (ภาพที่4)


มูลค่าทางเศรษฐกิจของธุรกิจกัญชา
มูลค่าของธุรกิจกัญชาในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2019 ทั้งที่ค้าขายถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปถึง 1.6 ล้านล้านบาท ในปี ค.ศ. 2025 (ภาพที่5 และ 6)




เพิ่มอัตราการจ้างงานที่เกี่ยวข้องกับกัญชาโดยตรงและโดยอ้อม
จากการศึกษาท่มีลรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา หลังจากแก้กฎหมายให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์ได้ และต่อมาขยายเป็นสามารถใช้แบบสันทนาการได้ พบว่า จากข้อมูลกรมสรรพากรระบุว่า ภายในเดือนกันยายน 2559 จำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตทางวิชาชีพเพื่อทำงานในธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกัญชาในโคโลราโด มีมากถึง 28,247 คน ทั้งนี้ ธุรกจิกัญชาเป็นธุรกิจที่ชวยรักษาอัตราการจ้างงาน และใช้บริการจากธุรกิจต่อเนื่องภาคอื่นๆ เช่น การก่อสร้าง วิศวกรรม ความปลอดภัย กฎหมาย ประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ และค้าปลีก เป็นต้น

การศึกษาที่ประเทศแคนาดา ประมาณการณ์ว่า หลังจากแก้กฎหมายให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์ได้และต่อมาขยายเป็นสามารถใช้แบบสันทนาการได้ พบว่าจะสร้างรายได้ประชาชาติสูงถึง 22,600 ล้านเหรียญแคนาดาต่อปี (533,000 ล้านบาท) ประกอบด้วย มูลค่าการบริโภคกัญชา 4,900 – 8,700 ล้านเหรียญ, มูลค่าธุรกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตกัญชา เช่น การปลูก การทำเป็นผลิตภัณฑ์การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ระบบความปลอดภัย เป็นเงิน 12,700 – 20,000 ล้านเหรียญ, ยังไม่รวมมูลค่าจากธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น การท่องเท่ยีว ค่าใบอนุญาต ภาษีธุรกจิ ธุรกจิการค้าอื่นๆ ที่เติบโตขึ้น

ลดค่าใช้จ่ายของกระบวนการยุติธรรม
ศาสตราจารย์เจฟฟรี ไมรอน แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ศึกษาวิจัยพบว่า ถ้าสหรัฐอเมริกามีการแก้กฎหมายทั้งประเทศจะประหยัดงบประมาณที่ต้องสูญเสียไปกับค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรมได้ท้งัหมด 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และมีโอกาสที่จะได้ภาษีจากการค้าขายกัญชาและธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และถ้าคิดอัตราภาษีเท่ากับเหล้าบุหรี่จะได้ภาษี 6,200 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ดังนั้น ถ้ารวม 2 หมวด จะคิดเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่ากับ 9,400 ถึง 13,200 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ภาพที่7)


สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รายงานว่า หลังวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ผู้ต้องหาคดีกัญชาจำนวน 10,688 คน จะพ้นความผิดได้รับอิสรภาพ ถ้าคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ครอบครัวของผู้ต้องหาเหล่านี้จะได้ประโยชน์โดยคำนวณจากค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท (ถ้าคิดวันทำงานต่อปี 300 วัน) จะมีมูลค่าเท่ากับ 900 ล้านบาทต่อปี

ลดค่าใช้จ่ายยาเคมี
ปัจจุบันประเทศไทยใช้จ่ายด้านสุขภาพของระบบประกันสุขภาพ 3 ระบบของไทย เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประมาณร้อยละ 10 ต่อปี นับว่ามีอัตราเพิ่มที่สูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ คาดว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพรวมจาก 293,000 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2560 จะเพิ่มขึ้นเป็น 454,000 ล้านบาทในปี พ.ศ.2575 ทั้งนี้ ตัวเลขทั้งหมดนี้ยังไม่นับที่ประชาชนและครอบครัวควักกระเป๋าจ่ายเองเมื่อไปรับบริการทั้งจากสถานบริการภาครัฐและเอกชนอีกประมาณร้อยละ 22 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด

ประมาณร้อยละ 45-50 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เป็นค่ายาและเวชภัณฑ์ ยาบางกลุ่ม เช่น ยารักษาโรคมะเร็งมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด มีอัตราเพิ่มสูงถึงร้อยละ 16 ต่อปี คาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า มูลค่าการนำเข้ายารักษาโรคมะเร็งจะสูงถึง 140,000 ล้านบาท อันนี้ยังไม่นับราคาขายปลีกที่จะสูงกว่านี้ไม่ต่ำกว่า 3-20 เท่าของราคานำเข้า (ภาพที่7)


ค่ายารักษามะเร็งบางรายการสูงถึงปีละ 1.5 ล้านบาท เมื่อระบบประกันไม่สามารถจ่ายให้ได้ก็ต้องตกมาเป็นภาระของผู้ป่วยและครอบครัว คนที่ไม่สามารถแบกรับได้บางคนจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายอย่างน่าอนาจใจ นอกจากนี้หลายคนยังไปเจอสภาพที่ว่าจ่ายแพงแล้วก็ยังไม่รอด เสมือนจ่ายเงินให้ไปทดลองยาที่ไม่ร้ผูลลัพธ์ที่แน่นอน

จากข้อมูลการศึกษาสรรพคุณทางเภสัชวิทยาของยากัญชา พบว่า เมื่อคนเราได้รับสารกัญชาจากพืชเข้าสู่ร่างกาย มันจะไปทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของระบบกัญชาตามธรรมชาติให้หลั่งสารเอ็นโดแคนนาบินอยด์มากขึ้น ทำหน้าที่ทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำหน้าที่ได้ตามปกติเกิดความสมดุล กัญชาจึงมีฤทธิ์กว้างขวาง ได้แก่ แก้ปวด (analgesia) ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ (muscle relaxation) ลดการอักเสบ (antiinflammation) ปรับภูมิคุ้มกัน (immune-moderation) แก้แพ้ (anti-allergic effects) ทำให้ง่วง (sedation) ปรับอารมณ์ (improvement of mood) กระตุ้นความอยากอาหาร (stimulation of appetite) แก้คลื่นไส้อาเจียน (anti-emesis) ลดความดันในลูกตา (lowering of intraocular pressure) ขยายหลอดลม (bronchodilation) ปกป้องระบบประสาทและสมอง (neuroprotection) และยับยั้งเนื้องอกหรือก้อนมะเร็ง (antineoplastic effects)

การแก้กฎหมายเพื่อให้ประชาชนเข้าการปลูกกัญชาไว้รักษาตนเองจะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครอบครัวและประเทศชาติได้อย่างมหาศาล ทั้งยังเปิดโอกาสการหารายได้จากการส่งออกอีกด้วย

ข้อคิดส่งท้าย
หลังจากที่ประเทศไทยเอากัญชาไปขังคุก ห้ามการใช้กัญชาไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ไปนานถึง 40 ปี สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนมาอย่างยาวนาน พรากพ่อแม่ลูก เอาไปจำขัง ด้วยข้อหาที่ไร้เหตุผลที่หนักแน่นทางวิทยาศาสตร์เพียงพอ จึงถือว่า การแก้กฎหมายยาเสพติดครั้งนี้ได้เปิดศักราชใหม่ของกัญชาทางการแพทย์ ในประเทศไทย เราต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยกันพัฒนากัญชาทางการแพทย์ ต้องช่วยกันสร้างความรู้จริงในเรื่องนี้ในทุกมิติ เพื่อทำให้ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองด้านสุขภาพได้มากขึ้น และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วยและประเทศชาติในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น