นายกฯ เหน็บกลางสภา พรรคไม่ได้เป็นรัฐบาล อย่าใช้เวทีสภาหาเสียง มาผิดเวที แจงจัดเก็บรายได้ลดลง เพราะสถานการณ์โควิด-สงคราม เผย กำชับทุกกระทรวงลดจำนวน ขรก.แล้ว ย้ำ ไม่มีรีดภาษีใคร เน้นหารายได้จากการลงทุน-ค้าขาย เผย ต่างชาติชมแก้ปัญหา
วันนี้ (1 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงระหว่างการการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ว่า ได้รับฟังการอภิปรายมาโดยตลอด และขอบคุณ เข้าใจดีที่ทุกคนมุ่งหวังให้ประเทศพัฒนาเจริญก้าวหน้า ส่วนตัวยังรู้สึกงง ว่า พิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2566 หรือเป็นเวทีงบประมาณของพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งไม่ได้เป็นรัฐบาลในเวลานี้ อย่าใช้โอกาสนี้ในการหาเสียง ถือว่าผิดเวที
นายกฯ ย้ำว่า การจัดเก็บรายได้ของรัฐ ได้ดำเนินการผ่อนคลาย ผ่อนผัน ยืดอายุการใช้หนี้ และลดดอกเบี้ยต่างๆ ทำให้รายได้จัดเก็บของรัฐน้อยลง เพราะสถานการณ์โควิด และสถานการณ์สงคราม และเศรษฐกิจโลก โดยรัฐบาลเตรียมการรองรับ ทำให้จีดีพีดีขึ้น เมื่อหาเงินไม่ได้ ก็ต้องใช้จ่ายแบบพุ่งเป้า โดยช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน แก้ปัญหาความยากจนแบบ พุ่งเป้า และต้องหาวิธีการทำให้ทุกคนอยู่รอด เพราะว่าทุกคนลำบาก ทั้งนี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ คิดหาทางออกทุกวัน ทำงานแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ซึ่งผลงานที่สำเร็จก็มีออกมา
นายกฯชี้แจงว่า การที่ฝ่ายค้านบอกว่าไม่มีอะไรที่ดีขึ้น ถือว่าไม่เป็นธรรมมากนัก มีผลสำเร็จหลายอย่าง ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนไม่เข้าใจ ทั้งนี้ รัฐบาลขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลซึ่งต้องแก้ไขกฎหมายรองรับ พัฒนา 5จี เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐมากที่สุด กฎหมายทุกอย่างทำตามขั้นตอนและกฎหมาย จึงขอให้สมาชิกพิจารณากฎหมายที่มีประโยชน์ต่อประชาชนให้ผ่านไปด้วยรวดเร็ว อย่ามั่วแต่ขัดแย้ง
ขณะที่ข้อเรียกร้องลดจำนวนข้าราชการลง เรื่องนี้ ตนเองได้กำชับทุกกระทรวงในการลดจำนวนบรรจุข้าราชการไปแล้ว ถ้าลดมากไป จะไม่มีคนทำงาน พร้อมย้ำว่า โครงการต่างๆ ต้องใช้เวลา ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เสร็จในปีเดียว ย้ำว่า ไม่มีการรีดภาษีใคร หารายได้เข้าประเทศด้วยการดึงดูดการลงทุน การค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลระมัดระวังการทำสัญญา หาวิธีการแก้ปัญหา ทั้งเรื่องปุ๋ยราคาแพง ด้านสาธารณสุข เป็นต้น
นายกฯย้ำว่า ต้องการชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกับรัฐบาล เมื่อฝ่ายค้านมาเป็นรัฐบาลก็เชื่อว่าจะดำเนินการเช่นกัน ทั้งนี้สิ่งไหนไม่ดีก็พร้อมรับข้อเสนอไปพิจารณา โดยโครงการทุกอย่างก็ต้องทำอย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้น จะติดคุก ดังนั้น รัฐบาลใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส ขออย่าไปเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้สูง แตกต่างจากบริบทในประเทศไทย
ส่วนการปรับยอดหนี้สาธารณะ นายกฯชี้แจงว่า จำเป็นต้องปรับเพดานหนี้สาธารณะเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยปรับในระยะ 3 ปีหากสถานการณ์ดีขึ้นก็ปรับลง พร้อมฝากฝ่ายค้านไปศึกษากฎหมายอีกครั้ง ยอมรับหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นใจ เพราะรัฐบาลทุ่มเทงบไปกับนโยบายให้ประชาชนเข้าถึง แต่ยังไม่มาก ตามที่ต้องการเพราะงบประมาณมีไม่ถึง โดยรัฐบาลก็ดำเนินโครงการลดหนี้สิน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน แต่หากจะรื้อทั้งหมดฝ่ายค้านทำได้ก็ทำเลย และนายกฯยังยกว่า ขณะนี้การแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้รับคำชื่นชมจากต่างประเทศ แต่คนไทยไม่ชื่นชม ความจริงตนเองมีเรื่องพูดได้ทั้งวัน เพราะทำเองกับมือทั้งหมด มีคณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาจากล่างสู่ข้างบน