ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “ชัชชาติ” ชนะขาด “วิโรจน์” แรงเกินต้าน “อัศวิน” หลุดรุ่ย สัญญาณถึงลุงๆ ได้เวลาช้อยเก็บฉาก!!
สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ประชาชนห่างหายการเข้าคูหากาบัตรมากว่า 9 ปี ในที่สุดผลก็ออกมาว่า “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” เจ้าของฉายาบุรุษผู้แข็งแกร่งในปฐพี ได้คะแนนเสียง “ยืนหนึ่ง” มาเหนือผู้สมัครคนอื่นๆ งานนี้ก็ขอแสดงความยินดีกับผู้ว่าฯ กทม.คนที่ 17 มาด้วย
“ชัชชาติ” ผู้สมัครอิสระ เปิดตัวมานาน และทำงานในพื้นที่เก็บแต้มมานานปีก่อนใคร หลังจากนั้น ก็มีกระแสขึ้นเป็นผู้นำของโพลแทบทุกสำนัก เรียกว่า ตั้งแต่ออกสตาร์ทจนถึงเส้นชัยแรงไม่ตก ไม่มีพลาด ม้วนเดียวจบ
ขณะที่คู่แข่งขันของ ชัชชาติ ที่มีคะแนนตามมาอันดับ 2-5 คน ที่แรงเกินต้าน เหนือคาดหมายก็ต้องยกให้กับ “วิโรจน์ ลักขณาอดิสรณ์” เจ้าของสโลแกน “ท้าชน” ผู้สมัครที่พรรคก้าวไกล ส่งเข้าประกวด กวาดคะแนนกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วน “พี่เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ พรรคประชาธิปัตย์ คนที่ออกตัวแรง แต่เจองานรับน้อง ทำเอาเป๋มาตั้งแต่ “หลานไอสไตน์” จนมาถึงกรณี “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” ก็แทบจะจอดไม่ต้องแจว แม้พยายามจะฝืนแจวแล้วก็ตาม ก็ทำได้อย่างที่เห็นๆ เท่านั้น
คนที่น่าจะบอบช้ำมากที่สุดงานนี้ หนีไม่พ้น “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ที่ออดอ้อนจะ “ขอไปต่อ” แต่อดไปต่อ เพราะประชาชนพิพากษาขอให้พอกันที คะแนนห่างไกลจากผู้ชนะ แถมคะแนนยังเป็นรอง “วิโรจน์-สุชัชวีร์-สกลธี” อีกต่างหาก
ทีนี้ถามว่า ปรากฏการณ์ชาว กทม. เลือก “ชัชชาติ” เป็นผู้ว่าฯ แบบชนะขาด แลนด์สไลด์ทั้ง 50 เขต ชนิดเรียกว่า พร้อมใจกันกาทั่วพระนครนี้ สะท้อนถึงอะไร ?
อย่างแรกที่ต้องพูดถึง คือ ชาว กทม. ต้องการการเปลี่ยนแปลง! จากที่ไม่ได้เลือกตั้งมา 9 ปี ที่ผ่านมา เก็บกด อดทนกันมานานกับ “ผู้ว่าฯ ม.44” ที่อยู่ในตำแหน่งมา 6 ปี
ซึ่งคะแนนนิยมในตัวของ "ชัชชาติ" ที่พรีเซนต์ตัวเองว่า อิสระ เพราะเชื่อว่า จะเข้ามาเป็น “ผู้ว่าฯ” ที่มีความแตกต่าง สร้างการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะบางส่วนจะสงสัย ขัดข้องใจกันอยู่บ้างกับอดีตว่า “ชัชชาติ” มีภาพของคน “เพื่อไทย” สายสัมพันธ์โยงใยกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งระหว่างการหาเสียงก็ถูกหยิบมาเป็นประเด็นแซะกันมาตลอด แต่เจ้าตัวก็แสดงออกว่าเป็น “อิสระ” แล้วจริงๆ ก็หักล้างกันไปได้จนข้อสงสัยค่อยๆ จางหายไป และ มีภาพของ “ตัวแทน” คน กทม. ที่พร้อมจะทำงานได้กับทุกฝ่าย เปลี่ยนการเมืองในลักษณ์ที่ไม่ยึดติดกับกับ “ฝักฝ่าย” เล่นพรรคเล่นพวก
ฃนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คน กทม. คาดหวังจะเห็นที่สุด บังเอิญว่า “ชัชชาติ” เป็นคนที่ใช่ และ ตอบโจทย์เสียงของคนส่วนใหญ่ใน กทม.ตรงนี้
ชัยชนะของ “ชัชชาติ” ทำให้นักวิชาการ และบรรดาคอการเมืองวิเคราะกันว่า อาจจะเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่คนกรุงรอคอย นั่นคือ การเมืองสายกลาง ที่ผู้ชนะไม่วางตัวอยู่บนคู่ขัดแย้งกับใคร และเดินหน้าเพื่อร่วมทำงานกับทุกฝ่าย อย่างมีเหตุมีผล
คะแนนที่ท้วมท้นของ “ชัชชาติ” ยังบ่งบอกว่าวลี “ไม่เลือกเราเขามาแน่” ที่ช่วงโค้งสุดท้ายอีกฝ่ายที่ต้องการสกัด “ชัชชาติ” พยายามปลุกกระแส ให้ไอโอ เซเลบ ของฝ่ายตัวเองออกมาขู่ฟ่อๆ นั้น เก่า และล้าสมัยไปแล้ว
วลีนี้เคยใช้ได้ผลสมัยเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ที่ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” พลิกชนะ “พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” แต่คราวนี้ “บ่มีไก๊” สิ้นมนต์ขลังจริงๆ และยังเป็นผลให้เสียงแตกแยกเป็นสองสาย ระหว่างการสนับสนุน “พล.ต.อ.อัศวิน” กับ “สกลธี ภัททิยกุล” ตัดกันเองอีกต่างหาก กลุ่ม “เชียร์ลุง” และ “สลิ่ม กกปส.” กลายเป็นฟัดกันเอง
ดังนี้นี่เอง จะเห็นว่า ไม่ใช่แค่วลี “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” จะต้องม้วนเสื่อลงเก็บ กระทั่งยุทธศาสตร์การแบ่งแยก “สีเสื้อ” และ “เชียร์ลุง” ทุกอย่างสงบจบที่ลุง ที่พยายามลากมาสร้างกระแสในช่วงท้ายๆ มุกแป้ก ปลุกไม่ขึ้นแล้ว
สิ่งสะท้อนชัยชนะของ “ชัชชาติ” ที่สำคัญที่สุด คือ คนกรุง “เบื่อลุง” ซึ่งระดับความเบื่อสะสมมาเป็นระยะ เรื่อยๆ จนบ่มเพาะมาถึงจุด “เบื่อถึงที่สุด” จนระเบิดออกมากลายเป็น การ “สั่งสอน” ด้วยการลงคะแนนตามวิถีประชาธิปไตย
การที่คนกรุงสั่งสอน “พล.ต.อ.อัศวิน” ไม่ได้ไปต่อแบบต้องไปหยอดน้ำใบบัวบกแก้ช้ำใน ไม่ใช่เรื่องของชอบ หรือไม่ชอบตัวอดีตผู้ว่าฯ ม.44 เท่านั้นแน่ แต่เป็นความตั้งใจ เจตนาสะท้อนไปถึงกลุ่มลุงพี่น้อง “3 ป.” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เกาะกุมครองอำนาจรัฐมากว่า 8 ปี เพราะเชื่อกันว่าการลงรับสมัครเลือกตั้งของ “พล.ต.อ.อัศวิน” ได้รับแรงหนุนและหมายมั่นปั้นมือจะเป็นตัวแทนสืบทอดอำนาจต่อในสนาม กทม.ซึ่งแน่นอนว่า ลุงๆ ก็มองไปถึง “สนามใหญ่” การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งก็คงคาดหวัง และเชื่อมั่นว่า พล.ต.อ.อัศวิน จะเข้าวินด้วย “ปัจจัยบวก” ที่มีเหนือคู่แข่ง ทั้งขุมกำลังอำนาจรัฐ 3 ลุง เป็น ผลลัพธ์ หากออกมาชนะ ย่อมจะใช้เป็น “ตัวชี้วัด” วางแผนอนาคตในสนามใหญ่ได้แบบจะได้ “ไปต่อ” กันยาวๆ
ทว่า สุดท้าย “คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต” เมื่อยุทธศาสตร์ที่วางไว้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่เป็นอย่างที่คิด “คนเบื่อลุง” พล.ต.อ.อัศวิน แพ้ “ชัชชาติ” ราบคาบ แถมคนกรุงยังแบ่งใจ เทคะแนนให้กับ “วิโรจน์ ก้าวไกล” ที่ยืนอยูฝั่งขั้วตรงข้ามลุง และทหารมาตลอด
มิพักต้องพูดถึง ผลเลือกตั้ง “ส.ก.” ที่พรรคเพื่อไทย เอาชนะพลังประชารัฐของ “ลุงป้อม” อย่างชนิดถ้าเป็นมวยก็ต้องบอกว่า แพ้แบบ “เอาต์คลาส” กันเลยทีเดียว
นี่เป็นสนาม กทม.ที่ส่งสัญญาณถึงเลือกตั้งใหญ่ สะท้อนออกมาให้เรียกหาช้อยมาเก็บฉาก แบบนี้ ลุงๆ มีเสียวสันหลัง ได้หนาวกันมั้ยละจ๊ะ!
**หมอหนู-ศักดิ์สยาม นำภูมิใจไทย สกัดแลนด์สไลด์ เพื่อไทย
ทุกกระแสการเมือง หันไปจับตาการจัดประชุมพรรคภูมิใจไทยสัญจร ระหว่างวันที่ 20-21 พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วย “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย รมว.คมนาคม ได้นำกรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กว่า 100 ชีวิต ไปทำกิจกรรมทางการเมืองที่ จ.ศรีสะเกษ หลังสถานการณ์โควิด เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
ฟังว่า พรรคภูมิใจไทย นำผลงานไปขาย เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทย “พูดแล้วทำ” ด้วยผลงานมากมาย เรียกเสียงปรบมือกันกระหึ่ม เมื่อพูดถึงผลงานที่ชัดเจน
ผลงานที่ว่า อย่าง “กัญชาเสรี” ปลูกได้มากกว่า 6 ต้น เป็นพืช “แก้เจ็บ แก้จน” “ฟอกไตฟรี”ประชาชนที่เป็นโรคไตจะไม่เข้าสู่ภาวะ “ล้มละลาย” อีกต่อไป หรือ “3 หมอ” ที่เป็นการลดความหนาแน่นในโรงพยาบาล และลดรายจ่ายประชาชนในการเดินทางไปโรงพยาบาล ตามด้วย “30 บาทรักษาทุกที่” ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ของประชาชน ด้วยการใช้เทคโนโลยี ที่ทันสมัยมาใช้กับระบบการเข้ารักษาพยาบาล โดยผู้ป่วยในระบบบัตรทอง ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สามารถเข้ารักษาโรคได้ในทุกโรงพยาบาล ไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายตามสิทธิ์ที่เคยสังกัดสถาพยาบาลอยู่
“วัคซีนโควิดกว่า 170 ล้านโดส” เต็มแขน เต็มโรงพยาบาล บริหารสถานการณ์โควิด-19 ด้วยการจัดหาวัคซีน ยา และเวชภัณฑ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประเทศไทย ไม่มีการขาดแคลนวัคซีน โดยมีการจัดหาวัคซีนได้กว่า 170 ล้านโดส โดยในปีที่หนักหน่วงคือ 2564 ปีเดียว จัดหาและฉีดวัคซีนให้คนทั้งประเทศได้กว่า 120 ล้านโดส
“มะเร็งรักษาทุกที่” ปรับเปลี่ยนระบบการให้บริการกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ให้เข้าการรักษา ได้สะดวกมากขึ้น ใกล้ที่ไหนไปรักษาที่ตรงนั้น ไม่ต้องไปรักษาตามสิทธิ์ที่ได้รับอยู่เดิม
“แอปพลิเคชัน เรียกรถรับจ้างสาธารณะ” แก้ไขกฎหมาย ประกาศกรมขนส่งทางบก ให้รองรับบริการแอปพลิเคชัน เรียกรถรับจ้างสาธารณะ
“MRmap เชื่อมโยงการขนส่งทั้งทางบก ราง น้ำ อากาศ” โครงการเชื่อมโยง ระบบขนส่งของประเทศไทย อย่างเป็นระบบ ทั้ง ทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และทางราง ไม่ว่าจะเป็นถนน รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ ท่าเรือ และสนามบิน ซึ่งจะขนคน และขนสินค้า รูปแบบใยแมงมุม ไปได้ทุกที่ทั่วประเทศ จากเหนือสู่ใต้ จากตะวันตกสู่ตะวันออก เชื่อต่อประเทศเพื่อนบ้าน ในทุกทิศทาง ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมในภูมิภาค เมื่อโครงการเสร็จสิ้นจะส่งผลให้เกิดการ สร้างงาน สร้างรายได้ จำนวนมหาศาล ปีละไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค
เรียกว่า วันนี้ “พรรคภูมิใจไทย” มั่นใจในการนำผลงาน ในห้วงเวลาที่ได้เป็นรัฐบาล มาชูเป็นจุดขายที่ทำให้ประชาชน เห็นว่า การได้เข้าสู่อำนาจ การได้เป็นรัฐบาล สามารถทำงานให้กับประชาชน ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ส่งผลให้เป็นการ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส”
ในการนี้ พรรคภูมิใจไทย ยังแสดงความพร้อมในการจัดขบวนทัพ เตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์การเลือกตั้งในพื้นที่อีสานใต้ โดยการเปิดตัวเป็นที่ฮือฮา เมื่อดึง ส.ส.ต่างพรรค ลูก ส.ส.ต่างพรรค หลาน ส.ส.ต่างพรรค มาเข้าร่วมทำงาน ในลักษณะถึงลูกถึงคน “พูดแล้วทำ” โดยยก จ.ศรีสะเกษ เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ที่การเลือกตั้งครั้งหน้า มีเป้าหมายจะมีตัวแทน หรือกวาดที่นั่งส.ส. ในสภาให้ได้มากที่สุด เพิ่มจำนวน ส.ส.ของพรรค
แน่นอนว่า จะเป็นการเพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรี ในภาคอีสาน และพื้นที่อีสานใต้มากขึ้น การพัฒนาต่างๆ อย่างเป็นเอกภาพ จะเข้าสู่พื้นที่นี้เพิ่มขึ้นนั่นเอง
หากจะวิเคราะห์สภาพพื้นที่ทางการเมืองใน จ.ศรีสะเกษ ปัจจุบัน “พรรคภูมิใจไทย” มี ส.ส.อยู่ 2 คน คือ เขตเมือง “เฮียโต้ง-ศิริพงษ์ อังสกุลเกียรติ” ในส่วนของ อุทุมพรพิสัย พื้นที่ “ส.ส.แนน-นายอาสพลธ์ สรรณ์ไตรภพ”
ส่วนในเขตพื้นที่แห่งความหวัง คือพื้นที่ “กันทรลักษ์” และ “ขุนหาญ” มีครอบครัว “ไตรสรณกุล” ที่มี “วิชิต ไตรสรณกุล” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นหัวเรือใหญ่ ถือเป็นองคาพยพการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด มีคนในบ้าน และเครือข่ายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น “ไตรศุลี ไตรสรณกุล” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “ธีระ ไตรสรณกุล” ส.ส.ศรีสะเกษ และ นพ.จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ” ที่พร้อมขับเคลื่อนการทำงาน “พูดแล้วทำ” เกิน 100%
ถ้าพุ่งไปในพื้นที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุด เห็นจะไม่พ้น “ราษีไศล” เพราะมี “ผู้แทนประชาชนตัวเล็ก แต่ใจใหญ่” แห่งตระกูล “แซ่จึง” ทั้ง “ปวีณ-ผ่องศรี แซ่จึง” ที่เปิดบ้านพัก พื้นที่ 70 ไร่ นำมวลชนร่วมเปิดศูนย์ประสานงานพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเวทีประกาศจะเข้าร่วมอุดมการณ์ “พูดแล้วทำ” ร่วมกับ “อนุทิน-ศักดิ์สยาม-ส.ส.ภูมิใจไทย”
นี่ถือเป็นการ ประกาศความพร้อมในทุกด้านของพรรคภูมิใจไทย เป็นเพียงแค่ ออเดิร์ฟ ในสนามเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่ช้า-ไม่นาน ส่งผลให้ พรรคภูมิใจไทย ถูกมองว่า เป็นพรรคที่มีความพร้อมถึงขีดสุด ที่จะเป็นทางเลือกให้ประชาชน