ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“อัจฉริยะ” ไม่แผ่ว! “ทนายเดชา” ฟาดใหญ่มาจากไหนรื้อคดีแตงโม งานนี้จะสงบ หรือไปต่อ จบที่ DSI
คดีดาราสาว “แตงโม” ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ เสียชีวิต เกิดเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลอีกครั้ง เมื่อ “ลุงอัจ” อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ที่ยืนกรานเชื่อว่า เป็นฆาตกรรมมากกว่าอุบัติเหตุ เดินหน้าทำภารกิจค้นหาหลักฐานเพิ่ม ด้วยการนำทีมนักประดาน้ำ ลงพื้นที่งมหาหลักฐาน และพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า “แตงโม” ตกเรือบริเวณไหนกันแน่ ?
งานนี้ “ลุงอัจ” ทุ่มสุดตัว โดยเป้าหมายพยายามจะเก็บรวบรวมหลักฐานส่งให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในวันพุธที่ 18 พ.ค.นี้ โดยหวังว่า “ดีเอสไอ” จะรับเป็นคดีพิเศษและเริ่มนับหนึ่งใหม่ในคดี “ฆาตกรรมอำพราง”
ดูจากท่าทีขึงขัง จริงจัง ของ “ลุงอัจ” ที่ออกสื่อนั้น เจ้าตัวแสดงความมั่นใจเต็มเปี่ยม แถมกำลังใจในโลกโซเชียล เชียร์ให้ลุยเต็มสูบภายใต้ แฮชแท็ก #แตงโมต้องได้รับความยุติธรรม และ #saveอัจฉริยะ
ก็ต้องบอกว่า “อัจฉริยะ” เวลานี้เหมือนมวยได้เสียงเชียร์ ชกลืมตาย ใครจะว่าอย่างไรขอลุยให้สุดซอย ซึ่งแน่นอนว่า ฝ่ายที่เป็น “มวยคู่อาฆาต” อย่าง “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์” ทนายความของ “แม๊” ภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของแตงโม ย่อมไม่อยู่เฉยแน่
“อัจฉริยะ” และ “ทนายเดชา” ก่อนหน้านี้ ก็ท้าตีท้าฟ้องกันหลายครั้ง จนเกิดดรามาขึ้นเป็นระยะ
พลันที่ “ลุงอัจ” เคลื่อนไหว เมื่อวาน (16 พ.ค.) “ทนายเดชา” ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กทนายคลายทุกข์ ระบุถึงกรณีที่ อัจฉริยะนำทีมค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมในคดีการเสียชีวิตของแตงโม ว่า #อย่าลุแก่อำนาจใช้กฎหมู่กดดันอัยการคดีแตงโม?
#อยากจะถามว่านายอัจฉริยะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน มีหน้าที่อะไรจะสั่งให้มีการรื้อคดีแตงโม
ทนายแม๊ บอกว่า ได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับการแถลงข่าวของนายอัจฉริยะ ที่ให้สัมภาษณ์ทำนองว่า พยานหลักฐานของตัวเองจะสามารถรื้อคดีของตำรวจ และอัยการ ให้เริ่มต้นทำสำนวนคดีใหม่ อยากจะถามว่า นายอัจฉริยะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน ถึงจะมารื้อคดีซึ่งพนักงานสอบสวนได้สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และพนักงานอัยการกำลังจะออกคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาเร็วๆ นี้ ไม่น่าจะเกิน 10 วัน
นายอัจฉริยะ จะอาศัยความเป็น influencer สร้าง Content โดยอาศัยผู้ติดตามจำนวนมากกดดันอัยการใช่หรือไม่
#จะเป็นการใช้กฎหมู่เหนือกฎหมายใช่หรือไม่
ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย การเรียกร้องความเป็นธรรมต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่กฎหมู่ จริงหรือไม่ ใช่หรือเปล่า ทนายแม๊ ตั้งคำถามถึงอัจฉริยะ ... แต่งานนี้ปรากฏว่า ชาวโซเชียล แห่มาตอบแทน ลุงอัจ แถมถามกลับทนายดังว่า ตกลงเป็นทนายโจทก์ หรือจำเลย ?
เมื่อสังคมยังสงสัยในคดีแตงโม ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ? ที่มีคนพยายามจะช่วยหาคำตอบ หาความยุติธรรมให้ดาราสาว
ดรามาระหว่าง “อัจฉริยะ” กับ “ทนายเดชา” น่าจะต้องมีอีกหลายยก กองเชียร์กองหนุนรักใคร ชอบใคร ก็เลือกข้างกันตามสบาย แต่สุดท้ายความจริงจะชนะทุกสิ่ง แม้จะยังไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่ใกล้ๆ นี้ 18 พ.ค. ก็ลุ้นไปที่ “ดีเอสไอ” กันก่อนว่า จะรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษ หรือไม่อย่างไร ...ความเป็นไปได้มีสองทางว่า จะไปต่อ หรือ สงบจบที่ DSI ก็ขอได้โปรดติดตามกันต่อไป.
**สูตรปาร์ตี้ลิสต์ “ลุงป้อม” หนุนหาร 100 แต่ “ลุงตู่” อยากให้หาร 500
หลังจากแก้รัฐธรรมนูญให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมี ส.ส. 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบหนึ่งเลือกส.ส.เขต หรือเลือกบุคคล... ส่วนอีกใบเลือกพรรค แล้วคำนวณออกมาเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
ก่อนหน้านี้ ที่มีการถกเถียงกัน คือ สูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จะใช้คะแนนที่เลือกพรรคเป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วย 100 หรือ หารด้วย 500 ... ล่าสุด มติของ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เห็นด้วย 32 ต่อ 11 เสียง ให้ใช้สูตรคำนวณแบบ “หาร 100”
ชัดเจนว่า บรรดาพรรคใหญ่ หรือพรรคขนาดกลาง อยากได้แบบ “หาร 100” แต่พรรคเล็กอยากได้แบบ “หาร 500” ... และมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากใช้แบบหาร 100 ก็จะไปเข้าทางพรรคเพื่อไทย ที่จะทำ “แลนด์สไลด์” กวาด ส.ส.เกิน 250 ที่นั่ง ได้ง่ายกว่าแบบหาร 500
หลังจากนี้ ต้องรอดูว่าที่ประชุมรัฐสภา จะโหวตตามที่ กมธ.มีมติมาหรือไม่
“ไพบูลย์ นิติตะวัน” ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ กมธ.ชุดนี้ บอกว่า เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภา ก็น่าจะเป็นไปตาม กมธ.เสียงข้างมาก ยิ่งการโหวตในชั้น กมธ.ครั้งนี้ เสียงห่างกันมากเกือบ 3 เท่า ดังนั้น โอกาสที่จะพลิกไปใช้สูตรหาร 500 นั้นมีแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ... และไม่เชื่อว่า สูตรหาร 100 จะทำให้พรรคเพื่อไทย ทำ “แลนด์สไลด์” จนจัดตั้งรัฐบาลได้
ขณะที่ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี เห็นว่า สูตร “หาร 100” ระบบเลือกตั้ง จะเหมือน รธน.ปี 40 ที่พรรคใหญ่ เงินมาก จะได้ ส.ส.เขตมาก และได้ปาร์ตี้ลิสต์เป็นของแถม “ระบอบทักษิณ” เคยทำสถิติได้ 377 เสียง จาก 500
แต่การหาร 500 จะยังยืนตามเจตนารมณ์ ส.ส.พึงมี คะแนนจะไม่ตกน้ำ และจำนวน ส.ส.จะสะท้อนสัดส่วนตามคะแนนบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคได้ ถ้าพรรคไหนได้ ส.ส.เขต เท่ากับ หรือมากกว่า ส.ส. พึงมี ก็จะไม่ได้บัญชีรายชื่อแถม ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน ต่อพรรคการเมืองนั้น
ที่น่าแปลกใจ คนที่มีอำนาจ คิดแต่เพียงว่า คะแนน ส.ส. บัญชีรายชื่อ หารด้วย 100 จะทำให้พรรคตนเองได้ ส.ส. มากขึ้น แต่ไม่มองภาพใหญ่ของประเทศ ว่า เป็นเกมที่ “ระบอบทักษิณ” ถนัด และเรียกร้องแบบนี้มาตลอด จึงขอฝากผู้มีอำนาจทุกท่าน ยังมีเวลาแก้ตัว เพราะแม้การหาร 100 จะผ่านชั้น กมธ. ไปแล้ว แต่จะต้องโหวตแข่งกับ หาร 500 ในสภาใหญ่อีกครั้ง จึงถือว่าจบสมบูรณ์ ดังนั้น ขอให้ผู้มีอำนาจคิดให้ดี...
ล่าสุด “พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์” ส.ว.สายตรง ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บอกว่า มี ส.ว. 14 คน ที่เป็น กมธ. ถือว่าเป็นตัวแทนของวุฒิสภา ก็มีการโหวตทั้ง หาร 100 และหาร 500
ส่วนที่มี กมธ.บางคน บอกว่า มติ กมธ.ว่าอย่างไร เสียงในสภาก็จะเป็นตามนั้น แต่ตนเองไม่ได้มองอย่างนั้น เพราะมีกฎหมายหลายฉบับ ที่ กมธ.เสนอมา และถูกแก้ในการประชุมสภา ถูกตีตกไปก็มี ตอนนี้อย่าเพิ่งด่วนสรุป อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และเห็นว่า สูตรหาร 100 นั้นขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ที่ต้องการให้พรรคเล็กเกิดขึ้นได้ เพื่อเป็นทางเลือกของประชาชน ถ้าแก้เอาสูตร หาร 100 ก็ขัดเจตนารมณ์ตรงนี้ชัดเจน เพราะทำให้พรรคเล็กมีโอกาสเกิดได้ยาก
เมื่อย้อนกลับไปดูผลโหวตของ กมธ. ที่เห็นด้วย 32 ต่อ 11 เสียงนั้น 32 เสียง ล้วนเป็น ส.ส.จากพรรคใหญ่-พรรคขนาดกลาง และ ส.ว.บางส่วน... แต่ “11 เสียง” ที่พ่ายแพ้นั้น พบเพียงแค่ “นพ.ระวี มาศฉมาดล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ ที่เป็นเพียง 1 เสียง ของพรรคเล็ก นอกนั้นอีก 9 คน เป็น ส.ว. และอีก 1 คน คือ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. ที่เป็นโฆษก กมธ.
ดังนั้น จึงพอจะอนุมานได้ว่า ส.ส.พรรคใหญ่ หรือ “สายลุงป้อม” ที่โหวตหนุนสูตร “หาร 100” เพราะคาดหวังว่า พรรคตนเองจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ มากขึ้น ขณะที่ ส.ว.หรือ “สายตรงลุงตู่” อยากให้เป็นสูตร “หาร 500” เพื่อซื้อใจพรรคเล็ก...ขณะเดียวกัน ก็เป็นการสกัด “แลนด์สไลด์” ของพรรคเพื่อไทยไปในตัว
คำพูดที่ว่าสงครามยังไม่จบ อย่างเพิ่งนับศพทหาร ยังคงใช้ได้กับเกมนี้... ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว สภาจะโหวตรับ หรือโหวตคว่ำ สูตรหาร 100