รองนายกฯ บอก วงการพระฉาว มีนานแล้ว แต่เพิ่งไปตรวจ ชี้ “หมอปลา” ถ้าเป็นประโยชน์ก็ทำได้ ลั่นลูกศิษย์หาประโยชน์จากพระต้องจัดการ แต่ต้องมาจากเบาะแสที่จริง
วันนี้ (12 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องไม่เหมาะสมในวงการสงฆ์ ว่า นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้บอกไปหลายเรื่องแล้ว ให้เอาตามนั้น เพราะเป็นผู้ดูแลพศ. ส่วนตนเป็นเพียงผู้กำกับอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น หลายเรื่องอาจจะไม่ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีเกิดประเด็นในทางลบเกี่ยวกับพระสงฆ์ต่อเนื่อง นายวิษณุ กล่าวว่า เคสเยอะขึ้นทุกวันไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิด แต่เมื่อมีการตรวจอย่างจริงจังจึงพบ และยังจะพบอีกเยอะ เหมือนกับการทุจริตคอร์รัปชัน ที่พบว่ามีจำนวนมาก แต่ไม่ใช่มากเพราะเพิ่งจะเกิด มีมานานแล้วเพิ่งไปตรวจกัน เพิ่งกล้าตรวจและเอาจริงเอาจังในการตรวจ เมื่อตรวจแล้วก็พบ
เมื่อถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นถูกมองว่าเป็นความเสื่อม จะเรียกศรัทธากลับคืนมาได้อย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นอีกเรื่องนึง เอาไว้ว่ากันยาว จะมาตอบสั้นๆตรงนี้ไม่ได้
ถามถึงกรณีที่มีลูกศิษย์ หาผลประโยชน์จากพระผู้ใหญ่ ที่อาพาธและเป็นอัลไซเมอร์ จะป้องกันและแก้ไขอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า เราไม่ได้ให้พระมีตำแหน่งในทางปกครองหรือบังคับบัญชา หรือที่เรียกว่าพระสังฆาธิการ ดังนั้นการบวชและอยู่นานก็อยู่ไปไม่มีปัญหา พระบางรูปอยู่ไปถึงอายุ 100 ปี ก็ไม่แปลก เช่น สมเด็จพระญาณวชิโรดม หรือหลวงพ่อวิริยังค์ แต่เวลาจะตั้งให้เป็นพระสังฆาธิการปกครองสงฆ์ เขาจะไม่ตั้ง อย่าว่าแต่อายุ 100 ปี บางครั้ง 80 ปีก็ไม่ตั้งแล้ว ส่วนที่มีลูกศิษย์ไปหาผลประโยชน์ ก็ต้องจัดการถ้าผิดกฎหมาย หรือผิดวินัยสงฆ์
เมื่อถามถึงกรณีมีบุคคลทั่วไป เช่น นายจีระพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา เข้าไปช่วยตรวจสอบพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ แต่ปรากฏว่าถูกพระสงฆ์และลูกศิษย์ต่อต้าน อ้างว่าไม่ให้เกียรติพระพุทธศาสนา นายวิษณุ กล่าวว่า ให้ยึดหลักโปร่งใส โดยโปร่งใสก็อาจจะมาได้จากคำแนะนำ หรือการชี้เบาะแสของใครก็ได้ เหมือนกับเรื่องทุจริตที่รณรงค์ให้ประชาชนชี้เบาะแส แต่ต้องเป็นเบาะแสที่เป็นความจริง หรือไม่จริงแต่สงสัยโดยมีเหตุอันควรสงสัย ไม่ใช่ไปปั้นเติมเสริมแต่ง ถ้าอย่างนี้มีประโยชน์ อย่างนี้ทำได้