“ทนายนกเขา-จตุพร” ยื่นหนังสือถึง “โจ ไบเดน” ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ หวั่นกระทบสัมพันธ์นานาชาติ ย้ำชัด ยึดมั่นในอิสระ พร้อมเป็นมิตรกับทุกประเทศ
วันนี้ (12 พ.ค.) บริเวณด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ นาย
โดย กลุ่มรวมประชาชนมีข้อห่วงกังวล ว่า จะเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากนานามิตรประเทศว่า ประเทศไทยไม่รักษาดุลยภาพของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากเกิดความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธขึ้นภายในภูมิภาคนี้ จึงขอเรียกร้องมายังรัฐบาลและประชาชนของสหรัฐอเมริกาดังนี้ 1. ยกเลิกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม ระหว่าง ไทย-สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2020 ว่าด้วยการยกระดับความเป็นพันธมิตรและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ เพื่อร่วมต่อต้านศัตรู เนื่องจากผู้แทนรัฐบาลไทยไปลงนาม โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และประชาชนไม่ทราบในรายละเอียดและข้อเท็จจริง จนสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศอื่นๆ ของไทย 2. ยกเลิกพันธกรณีที่มีผลสืบเนื่องมาจากยุทธศาสตร์ดังกล่าวและพันธกรณีที่มีผลสืบเนื่องไปสู่การจัดตั้งองค์กรนาโต-2 ขึ้นในอาเซียน 3. ขอให้สหรัฐอเมริกายุติการอ้างสนธิสัญญา ข้อตกลง แถลงการณ์ร่วม เพื่อนำไปสู่บทสรุปแต่เพียงฝ่ายเดียวว่า ประเทศไทยจะเป็นพันธมิตรร่วมรบ หรือเลือกอยู่ข้างสหรัฐฯ ในการต่อต้าน “ศัตรู” ย่อมไม่ถือเป็นมารยาททางการทูตที่ดีต่อมิตรประเทศ เนื่องจากเป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ แต่เพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งจะก่อปัญหาให้เกิดกับประเทศไทย ดังนั้น สหรัฐฯ จึงไม่ควรกระทำการดังกล่าวซ้ำอีก
4. หากสหรัฐอเมริกาจะอาศัยข้ออ้างในการประชุมสุดยอดสหรัฐฯ และผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อดำเนินการใดๆ ร่วมกับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอซา จนก่อให้เกิดข้อสงสัยในความสัมพันธ์อันดีของประเทศไทยกับมิตรประเทศอื่นๆ อันเสมือนหนึ่งเป็นการเลือกข้างนั้น ย่อมถือเป็นการกระทำโดยไม่ได้รับฉันทานุมัติจากปวงชนชาวไทย และประซาชนชาวไทยจะร่วมคัดค้านอย่างถึงที่สุด
ทั้งนี้ กลุ่มรวมประชาชน จึงเรียนมาเพื่อขอยืนยันว่า ประชาชนไทยยังคงความเป็นมิตรกับอเมริกา อันถือเป็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องยาวนานกว่า 600 ปี บนพื้นฐานความร่วมมือในหลากหลายมิติ ที่ต้องเคารพยอมรับความมีอธิปไตยให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม และประเทศไทยยึดมั่นในนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ พร้อมเป็นพันธมิตรกับทุกประเทศ ยึดมั่นในเส้นทางของการพัฒนาอย่างสันติ ยืนหยัดต่อความถูกต้อง เพื่อความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนของมวลมนุษยชาติ
ซึ่ง ทนายนกเขา ย้ำชัดว่า หากเป็นการทำเพื่อภาคการท่องเที่ยว หรือภาคเศรษฐกิจสามารถยอมรับได้ แต่ถ้ากระทำเป็นการแทรกแซงทางการเมืองประเด็นนี้ยอมรับไม่ได้
จดหมายเปิดผนึก กลุ่มรวมประชาชน (people's coalition movement)
เรื่อง ยกเลิกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม (Joint Statement) ระหว่าง ไทย-สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2020 และพันธกรณีจากแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และ องค์กรนาโต-2
กราบเรียน ฯพณฯ นายโจเซฟ อาร์.ไบเดน จูเนียร์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ผ่านสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำราชอาณาจักรไทย
ห้วงระหว่างวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2565 สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดสหรัฐฯ และผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ (ASEAN-US Special Summit) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย เดินทางไปร่วมประชุมด้วยตนเองตามคำเชิญของท่านนั้น
แน่นอนว่า หากเป็นสถานการณ์ปกติ ย่อมเป็นโอกาสดีที่ผู้นำไทยจะได้ไปสานสัมพันธ์ แสวงหาความร่วมมือต่อกันกับผู้นำระดับโลก หลังจากที่ทุกชาติต่างต้องกักตัวเอง ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 มาตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ ด้วยสถานการณ์สู้รบ “รัสเซีย-ยูเครน” ที่ยังคุกรุ่น และมีทีท่าจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยที่สหรัฐอเมริกาประกาศสนับสนุนยูเครนอย่างชัดเจน ตลอดจนความพยายามของสหรัฐฯที่จะสกัดกั้นการแพร่ขยายอิทธิพลในภูมิภาคอาเซียนของ “จีน” ที่เป็นพันธมิตรที่สำคัญของรัสเซียมาโดยตลอด ทำให้ประชาชนไทยเห็นว่า การประชุมครั้งนี้อาจมีวาระซ่อนเร้นที่หาใช่ให้ความสำคัญกับวาระความร่วมมือครบรอบ 45 ปี ของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อาเซียน ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
สืบเนื่องจากเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา(White House) มีการเผยแพร่รายงาน “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐอเมริกา” (INDO-PACIFIC STRATEGY OF THE UNITED STATES) จัดทำโดยกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา โดยระบุถึงประเทศไทยว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางอาเซียน
รายงานฉบับนี้ยังระบุว่า ภูมิภาคเอเชียจะมีความมั่นคง ต้องหมายถึงว่า จีนต้องไม่มีบทบาท และสหรัฐอเมริกาต้องเป็นผู้นำแห่งเอเชียแปซิฟิก สหรัฐฯ จึงจะเกิดความมั่นคง รวมทั้งยังระบุว่า ไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ ด้วยสนธิสัญญาที่แข็งแกร่ง อันประกอบด้วย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย
รวมทั้งก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยยังร่วมลงนามกับ นายมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ในแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม (Joint Statement) ระหว่าง ไทย-สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2020 ว่าด้วยการยกระดับความเป็นพันธมิตรและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศเพื่อร่วมต่อต้านศัตรู จนกระทั่งทำเนียบขาวนำชื่อประเทศไทยไปใส่ไว้ในรายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก อย่างเป็นทางการว่า เป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่มีสนธิสัญญาผูกพันกัน
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นกลุ่มรวมประชาชน จึงมีข้อห่วงกังวลว่า จะเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากนานามิตรประเทศว่า ประเทศไทยไม่รักษาดุลยภาพของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากเกิดความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธขึ้นภายในภูมิภาคนี้ จึงขอเรียกร้องมายังรัฐบาลและประชาชนของสหรัฐอเมริกาดังนี้
1. ยกเลิกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม (Joint Statement) ระหว่าง ไทย-สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2020 ว่าด้วยการยกระดับความเป็นพันธมิตรและความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศเพื่อร่วมต่อต้านศัตรู เนื่องจากผู้แทนรัฐบาลไทยไปลงนาม โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และประชาชนไม่ทราบในรายละเอียดและข้อเท็จจริง จนสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศอื่นๆ ของไทย
2. ยกเลิกพันธกรณีที่มีผลสืบเนื่องมาจาก “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐอเมริกา” (INDO-PACIFIC STRATEGY OF THE UNITED STATES) และพันธกรณีที่มีผลสืบเนื่องไปสู่การจัดตั้งองค์กรนาโต-2 ขึ้นในอาเซียน
3. ขอให้สหรัฐอเมริกายุติการอ้างสนธิสัญญา ข้อตกลง แถลงการณ์ร่วม เพื่อนำไปสู่บทสรุปแต่เพียงฝ่ายเดียวว่า ประเทศไทยจะเป็นพันธมิตรร่วมรบ หรือเลือกอยู่ข้างสหรัฐฯ ในการต่อต้าน “ศัตรู” ย่อมไม่ถือเป็นมารยาททางการทูตที่ดีต่อมิตรประเทศ เนื่องจากเป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ แต่เพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งจะก่อปัญหาให้เกิดกับประเทศไทย ดังนั้น สหรัฐฯ จึงไม่ควรกระทำการดังกล่าวซ้ำอีก
4. หากสหรัฐอเมริกาจะอาศัยข้ออ้างในการประชุมสุดยอดสหรัฐฯและผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อดำเนินการใดๆ ร่วมกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนก่อให้เกิดข้อสงสัยในความสัมพันธ์อันดีของประเทศไทยกับมิตรประเทศอื่นๆ อันเสมือนหนึ่งเป็นการเลือกข้างนั้น ย่อมถือเป็นการกระทำโดยไม่ได้รับฉันทานุมัติจากปวงชนชาวไทย และประชาชนชาวไทยจะร่วมคัดค้านอย่างถึงที่สุด
กลุ่มรวมประชาชน จึงเรียนมา เพื่อขอยืนยันว่า ประชาชนไทยยังคงความเป็นมิตรกับอเมริกา อันถือเป็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องยาวนานกว่า 200 ปี บนพื้นฐานความร่วมมือในหลากหลายมิติ ที่ต้องเคารพยอมรับความมีอธิปไตยให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม และประเทศไทยยึดมั่นในนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ พร้อมเป็นพันธมิตรกับทุกประเทศ ยึดมั่นในเส้นทางของการพัฒนาอย่างสันติ ยืนหยัดต่อความถูกต้อง เพื่อความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนของมวลมนุษยชาติ