กมธ.การศาสนาฯ แฉ “อดีตพระกาโตะ” เบิกเงินวัดมากกว่า 6 แสน นั่งรักษาการไม่ถูกระเบียบ-ไร้อำนาจเบิกถอนเงิน ส่อผิดยักยอกทรัพย์ ผู้เกี่ยวข้องโดนด้วยกราวรูด ชงแก้ กม.ปิดช่องโหว่ “อลัชชี” มั่วสีกา คุก 1-5 ปี ปรับ 1 แสน พศ.รับฐานข้อมูลยังไม่ปรับปรุง ยันตัวตนไม่ได้ผิดแล้วกลับมาบวชใหม่
วันนี้ (10 พ.ค.) เมื่อเวลา 12.20 น. ที่รัฐสภา นายสุชาติ อุสาหะ ส.ส.เพชรบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุม กมธ.ว่า ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นเรื่องข้อกฎหมาย กฎกระทรวง และกฎมหาเถรสมาคม ที่เกี่ยวข้องกับอดีตพระกาโตะ และสีกาตอง ที่เกิดขึ้นใน จ.นครศรีธรรมราช โดย กมธ.ได้เชิญตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง ได้แก่ สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) รวมถึงพนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้ ซึ่งใช้เวลาหารือกันกว่า 2 ชั่วโมง โดยมีการซักถามเรื่องข้อกฎหมายและเส้นทางการเงิน ได้ข้อสรุป คือ กรณีข้อกฎหมาย กฎกระทรวง และกฎมหาเถรสมาคม ถ้าพระภิกษุปาราชิกแล้วจะกลับมาบวชใหม่ได้หรือไม่ ทางสำนักพุทธฯ ชี้แจงว่า ทั้งประเทศ มีพระภิกษุประมาณ 250,000 รูป มีวัดและสำนักสงฆ์ประมาณ 42,000 แห่ง และที่พักสงฆ์ 10,000 แห่ง ต้องยอมรับว่าฐานข้อมูลของสำนักพุทธฯ ยังไม่สามารถปรับให้เป็นปัจจุบันได้
“ดังนั้น การยืนยันตัวตนในบางครั้ง หากต้องอาบัติปาราชิกในกรณีที่เสพเมถุน และหากเกิดเหตุเช่นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือบางครั้งอาจเกิดเหตุในจังหวัดอื่น อาจจะเป็นบุคคลเดิมหรือไม่ แล้วถ้ามีการเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลด้วย จึงทำให้ไม่สามารถยืนยันข้อมูลปัจจุบันได้ โดยสำนักพุทธฯ ยืนยันว่า จะไปปรับปรุงข้อมูลในส่วนนี้โดยเร่งด่วน” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ส่วนการแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาส ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ มาตรา 36, 37, 39 ในกรณีของอดีตพระกาโตะ จะถูกต้องตามระเบียบข้อกฎหมายหรือไม่ ได้รับการชี้แจงว่า อดีตพระกาโตะ ไม่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เพราะไม่ได้มีคำสั่งที่แต่งตั้งถูกต้องตามระเบียบ ซึ่งเจ้าพนักงานตามกฎหมายที่ถูกต้อง คือ เจ้าอาวาสวัดบุปผาราม ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย ขณะที่การเปิดบัญชี และอำนาจการเบิก-ถอนเงินในบัญชีของวัด ต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1. บัญชีเป็นชื่อของวัดซึ่งถูกต้อง แต่ 2. ผู้มีอำนาจในการถอนเงินไม่ถูกต้องตามระเบียบ เพราะทั้ง 3 คนที่มีชื่อในการเบิกจ่าย ไม่ได้เป็นรักษาการเจ้าอาวาส หรือไวยาวัจกร
“เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปสืบต่อว่าเงินในส่วนนี้เข้ามาอย่างไร รวมถึงการเบิกจ่ายที่ไม่มีอำนาจผลจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่บอกได้ คือ จำนวนเงินที่เบิกจ่ายออกจากวัดมีมากกว่า 600,000 บาท ตามที่ปรากฎเป็นข่าว เฉพาะเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ก็มากกว่า 600,000 บาทแล้ว แต่ตัวเลขที่ชัดเจนยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งทางฝ่ายสืบสวนกำลังตามอยู่ ในกรณีนี้จะเข้าข่ายที่จะสามารถเอาผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้ ทางพนักงานสอบสวนยืนยันแล้ว ซึ่งจะรวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับอดีตพระกาโตะในฝ่ายต่างๆ ด้วย หากมีความชัดเจนกว่านี้จะแจ้งให้ทราบต่อไป” ประธาน กมธ.การศาสนาฯ ระบุ
นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังปรึกษากันเรื่องการแก้กฎหมายและแก้ระเบียบใหม่ โดยต่อไปความผิดเกี่ยวกับการมั่วสุมสีกาจะต้องมีความผิดทั้งหญิงและชาย ซึ่งเราได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เข้าสภา แล้ว เมื่อเปิดประชุมสภา ก็คงจะมีการพิจารณา โดยมีบทลงโทษ คือ จำคุก 1-5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับประมาณ 100,000 บาท เรามองว่า กรณีที่ผู้หญิงเข้าไปถึงในวัด และมีปัญหาเรื่องปาราชิก หรือเรื่องเพศสัมพันธ์ หรือการนัดเจอกันข้างนอกก็เช่นกัน ควรจะต้องมีบทกำหนดโทษทางอาญาด้วย รวมถึงสำนักพุทธฯ จะต้องไปทำฐานข้อมูลให้ชัดเจน เกิดเหตุที่ไหนจะต้องฉับไว ไม่ใช่ปล่อยให้สื่อหรือองค์กรอื่นเดินหน้าไปและมาตามไล่หลัง