นายกฯ เปิดงานวันแรงงาน ย้ำ รบ.ตระหนักถึงบทบาทของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน เป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อน ศก.ชาติ ให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้อง มอบ รง.- หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้แรงงานทุกกลุ่มได้รับความเป็นธรรมตาม กม. สอดคล้องสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (1 พ.ค.) เวลา 11.10 น. ณ ห้องประชุมชั้น 5 (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) กระทรวงแรงงาน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เข้าร่วมงาน ซึ่ง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ 2565 พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ สมาชิกสภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย สมาชิกสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจและแรงงานนอกระบบให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า รัฐบาลตระหนักถึงบทบาทของพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ในฐานะที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาโดยตลอด อีกทั้งยังตระหนักถึงสิทธิ ความเสมอภาค สวัสดิการ และความปลอดภัยในอาชีพของผู้ใช้แรงงานทุกคน โดยพร้อมรับฟังความต้องการของผู้ใช้แรงงานเพื่อนำไปประกอบการพัฒนาความเป็นอยู่ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานทุกคนให้มีความมั่นคงและปลอดภัยด้านอาชีพและการดำรงชีวิต ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเสมอมา ที่ผ่านมารัฐบาลมีความมุ่งมั่นผลักดันให้กระทรวงแรงงาน เป็นกระทรวงที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในทุกมิติอย่างเต็มรูปแบบในเวทีการค้าโลก ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ดังนั้น การพัฒนาแรงงานเพื่อให้ทุกคนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างยั่งยืน จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กับการพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปในหลายมิติ เช่น การเกิดโรคอุบัติใหม่ การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อม ทำให้การดำเนินชีวิตและการทำงานเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องหาแนวทางทำให้ประเทศไทยมีรายได้ที่สูงขึ้น มีการพัฒนาศักยภาพแรงงานด้านต่างๆ พร้อมกับยกระดับฝีมือแรงงาน ให้สอดคล้องต่อความต้องการของตลาดแรงงาน สามารถรองรับการทำงานในระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนให้สามารถต่อยอดการประกอบอาชีพ และยกระดับรายได้ โดยเฉพาะภาคการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรม S-curve และ New S-curve ที่ประเทศไทยสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมอย่างยั่งยืน และการพัฒนาศักยภาพของพี่น้องแรงงาน นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานต่างชาติอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งเร่งพัฒนาและส่งเสริมการคุ้มครองแรงงาน ระบบสวัสดิการ มาตรฐานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ควบคู่กับการสนับสนุนหลักประกันสังคมที่จำเป็นต่อสภาวะสังคม ซึ่งรัฐบาลได้เร่งรัดให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคมให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันและรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อผู้ใช้แรงงาน ที่ได้เสียละทุ่มเท กำลังกาย กำลังความคิด เพื่อพัฒนาและร่วมขับเคลื่อนประเทศในทุกด้านผ่านโครงการสำคัญๆ ของรัฐบาล เช่น การช่วยเหลือเยียวยาลดภาระค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับนายจ้างผู้ประกันตนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งการให้บริการทางการแพทย์รักษาโควิด-19 แก่ผู้ประกันตน โครงการ Factory Sandbox โครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ถึงมีนาคม 2565 เป็นต้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นยกระดับการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ซึ่งประเมินโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งผลักดันการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งแรงงานกลุ่มเปราะบาง แรงงานสูงอายุและคนพิการ เพื่อสร้างความเท่าเทียมเป็นธรรม นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับข้อเสนอของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน มีความห่วงใย และตระหนักถึงความสำคัญของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน และจะนำข้อเรียกร้องของพี่น้องแรงงานทุกกลุ่ม ทั้ง 8 ข้อ มอบหมายให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ เพื่อให้พี่น้องแรงงานทุกกลุ่มทุกคน ได้รับการคุ้มครองและได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิทางกฎหมายที่สอดคล้องกับสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป และนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าทุกคน ทุกภาคส่วนเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศร่วมกัน รัฐบาลมีความเข้าใจในสถานการณ์ปัญหา และพร้อมจะร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไปโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการของสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม และเยี่ยมชมศูนย์โรคหลอดเลือดสมองของ รพ.จุฬารัตน์ อินเตอร์ 3 การให้บริการตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจ โดยอายุรแพทย์หัวใจ บริการตรวจสายตา ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด โดย รพ.ศิครินทร์ ซึ่งให้บริการตรวจฟรีแก่ผู้มาร่วมงานด้วย