อยู่ๆทำไม “พระราชธรรมนิเทศ” หรือ “พระพะยอม กัลยาโณ” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ถึงเอ่ยปากว่า “ชัชชาติ สิทธิพันธ์” จะเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) เพราะได้ “พรหม” พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ อดีตผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร New Dem ของพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) มาช่วยงาน
ถอดรหัส “พระพยอม” ที่ยกให้เป็น “พรหม” ถือเป็นตัวแปรสำคัญสู่ชัยชนะของ “ชัชชาติ” ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะการมาของ “อดีตคนรุ่นใหม่จากพรรคประชาธิปัตย์ ”ช่วยเพิ่มน้ำหนักเรื่องความ “เป็นกลาง” และ “อิสระ” ให้กับ “ชัชชาติ”
“พรหม” เป็นลูกของ “พนิต วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าฯกทม. ซึ่งในทางการเมืองพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยอยู่กันคนละขั้ว
ดังนั้น การที่ “พรหม” อดีตคนพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นทีมงานของ “ชัชชาติ” ที่กำลังถูกขบวนการดิสเครดิตว่าไม่ได้อิสระจากพรรคเพื่อไทยจริงนั้น จะช่วยเพิ่มเรื่องความเป็นกลางให้กับ “ชัชชาติ” ได้อย่างมากมาย
และหากไม่มี “พรหม” เป็น 1 ในทีมงาน “ชัชชาติ” อาจจะถูกโจมตีเรื่องดังกล่าวหนักกว่านี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะสารพัดวิชามาร และเกมการเมืองไม่สร้างสรรค์ เหมือนในปี 2556 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ที่ผลโพลนำ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯกทม.มาตลอด แต่กลับพ่ายแพ้ในโค้งสุดท้าย เพราะวาทกรรม “ไม่เลือกเราเขามาแน่” และ "ทีมรองนายกฯจากคนเสื้อแดง"
นอกจากนี้ “พรหม” ยังมีภาพลักษณ์ของ “คนรุ่นใหม่” เพราะอยู่ในวัย 31 ปีเท่านั้น มันเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับทีมของ “ชัชชาติ” ที่เป็นศูนย์กลางของคนทุกรุ่น ทุกช่วงวัย
อย่าลืมว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ มีนิวโหวตเตอร์อยู่ประมาณ 6-7 แสนคน หลังว่างเว้นการเลือกตั้งไปประมาณ 9 ปี การมีทีมงานที่เป็นเจเนอเรชั่นใหม่อย่าง “พรหม” จะช่วยเป็นกระบอกเสียงกับคนกลุ่มนี้ได้ เพราะถือว่า เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
ยิ่งหากมีการชิงจังหวะประกาศตั้งแต่ต้นเลยว่า “พรหม” จะเป็น 1 ในผู้บริหารกทม. มันจะยิ่งทำให้ภาพชัดเจนมากขึ้นว่า จะมีตัวแทนของคนวัยนี้เข้าไปทำงานอย่างแน่นอน เพราะให้ความสำคัญคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง และจะมีคนที่พร้อมจะรับฟังเสียงของพวกเขาอย่างแน่นอน
แม้ “พรหม” จะอายุ 31 ปี แต่เป็นเครื่องจักรที่พร้อมทำงานได้เลย นอกจากประสบการณ์ทำงาน เคยเป็นผุ้ช่วยส.ส. ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ดูแลด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ยังเคยเป็น อดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2562 และ ที่สำคัญยังมีคุณพ่อ หรือ “พนิต วิกิตเศรษฐ์ ” ส.ส. บัญชีราย พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการบริหารกรุงเทพมหานคร
“พนิต” เป็นอดีตรองผู้ว่าฯกทม. สมัยที่มี “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” เป็นผู้ว่าเมืองหลวง โดยตอนนั้น “พนิต” มีอายุเพียง 39 ปีเท่านั้น แต่สามารถบริหารงาน และร่วมทำงานกับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพฯ ที่มีความอาวุโสกว่าได้อย่างราบรื่น ไร้ปัญหาช่วงวัย และถัดมายังเป็นอดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์อีกด้วยในเวลาต่อมา
ดังนั้น “พรหม” จะมีที่ปรึกษาส่วนตัว ที่รู้จัก องค์กรกทม. และพื้นที่ กรุงเทพฯเป็นอย่างดี ในฐานะคนทำงานและคนที่มีประสบการณ์ตรง
ขณะเดียวกัน การเข้ามาในทีม “ชัชชาติ” ของ “พรหม” ได้ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับทีมผู้บริหาร ที่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะของภารกิจแต่ละด้านเพื่อแก้ไขปัญหา กทม.ได้ตรงจุด
เหมือนเมื่อครั้งที่ “อภิรักษ์” ที่เป็นนักธุรกิจ และถนัดบริหาร ได้ดึง “พนิต” ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน “วัลลภ สุวรรณดี” ที่มีเชี่ยวชาญด้านการศึกษา และ “สามารถ ราชพลสิทธิ์” ที่เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม และเรื่องระบบน้ำ ไปเป็นรองผู้ว่าฯกทม. เพื่อให้ครอบคลุมปัญหาของเมืองหลวง
ขณะที่ “พรหม” เองมีความเชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม และเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด โดยนอกจากจบปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์จากประเทศอังกฤษแล้ว ยังจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านนโยบายพลังงานเเละสิ่งแวดล้อมจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงเคยผ่านการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมให้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) มาแล้ว
โดยเรื่องสิ่งแวดล้อมถือเป็น 1 ในนโยบาย “พระเอก” ของ “ชัชชาติ” ที่ชูขึ้นในครั้งนี้ การมี “พรหม” จึงทำให้ “ชัชชาติ” มีกระบอกเสียงคนรุ่นใหม่ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอยู่ข้างกาย
จึงถึงบางอ้อว่า ทำไม “พระพยอม” ถึงเชื่อมั่นว่าบุตรชายของ “พนิต” เป็นมือ "ทำงาน ทำงาน ทำงาน" และจะทำให้ “ชัชชาติ” เข้าวินในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. ในนามอิสระ ได้ในที่สุด