วันนี้(12 เม.ย.)นายณภัค เพ็งสุข ผู้สมัคร ส.ก.เขตลาดพร้าว พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ air4thai รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศ พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ และเกินมาตรฐานทุกพื้นที่ที่มีเครื่องตรวจวัด เนื่องจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างนิ่งประกอบกับมีการเผาแปลงพืชผลการเกษตรซึ่งจุดความร้อนส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
“การแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 เป็นเรื่องใหญ่ที่ประชาชนไม่สามารถทำเองได้ ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและจริงใจของรัฐบาลด้วย แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นสิ่งนี้จากรัฐบาลชุดนี้ ทั้งที่ปัญหาฝุ่นเกิดขึ้นทุกปี มีประชาชนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ แต่รัฐบาลกลับนิ่งนอนใจ ร่างกฎหมายที่หลายฉบับที่มีการเสนอเพื่อแก้ปัญหาแทบไม่ได้รับการตอบสนอง บ้างโดนดอง บ้างถูกปัดตก เช่น ร่าง พ.ร.บ. การรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม พ.ศ….หรือ PRTR ของพรรคก้าวไกล ยังไม่นับนโยบายต่างๆที่สร้างผลกระทบตั้งแต่สมัย คสช.ที่เอื้อต่อกลุ่มทุนเกษตรและน้ำตาล ทำให้มีการไปลงทุนปลูกอ้อยและข้าวโพดมากขึ้นเรื่อยๆทั้งในประเทศและเพื่อนบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ โดยควบคุมดูแลการเผาทำลายไม่ได้ กลายเป็นฝุ่นควันเผาไหม้ที่ย้อนกลับมาทำลายสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ แต่แทนที่รัฐบาลจะหามาตรการกำกับดูแลกลุ่มทุนเหล่านี้ หรือใช้วิธีการเจรจาหาทางออกกับเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง เพราะเป็นผลกระทบที่เกิดร่วมกันในอาเซียน แต่เพราะเรามีรัฐบาลที่คอยแต่เอาใจนายทุนจึงไม่เคยใส่ใจที่จะทำเรื่องเหล่านี้เลย”
นายณภัค กล่าวต่อว่า สำหรับสิ่งที่ประชาชนพอทำได้จึงเหลือแค่การดูแลตัวเองเป็นการเฉพาะหน้าปีต่อปี ตอนนี้การสวมแค่หน้ากากผ้าคงไม่เพียงพอ ต้องใช้หน้ากากที่กันฝุ่น PM2.5 ได้เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม หน้ากากกันฝุ่นยังคงมีราคาแพง ในสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้ยิ่งเป็นต้นทุนค่าครองชีพ อย่างน้อยที่สุด กทม.และหน่วยงานด้านสุขภาพของรัฐ ควรเร่งสำรวจกลุ่มเปราะบางและใช้งบประมาณที่มีในมือหาเครื่องมือมาช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพให้ประชาชน เช่น การจัดหาเครื่องกรองอากาศไปให้ เช่นเดียวในส่วนคนที่เลี่ยงการทำงานกลางแจ้งไม่ได้ ควรจะแจ้งให้มีการจัดหาหน้ากากกันฝุ่นลงไปให้ หรือมีจุดแจกหน้ากากให้ประชาชนอย่างเพียงพอ งบที่มีในมือควรถูกใช้เพื่อการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทางสุขภาพให้ประชาชนบ้าง แต่ในระยะยาวคงเห็นกันแล้วว่า รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลชุดนี้ ไม่มีพรรคไหนเลยที่เห็นความสำคัญของสุขภาพอย่างจริงจัง ปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อทำร้ายลมหายใจประชาชนติดต่อกันมาหลายปี จึงไม่ควรเลือกตัวแทนจากพรรคเหล่านี้กลับมาอีก