ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ระหว่าง “ทนายตั้ม” กับ “ตำรวจ” ปม “กุนซือ” คนบนเรือคดีแตงโม ทัวร์จะเลือกลงใคร? เชื่อใคร ?
กลายเป็นเรื่องที่ต้องให้ชาวเน็ตเลือกกันว่าจะจัดคณะทัวร์ลงใครดี ในปม “กุนซือ” คดีแตงโม ระหว่าง “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ กับ ตำรวจ
เรื่องของเรื่อง เกิดขึ้นจากการที่มีข่าวแพร่สะพัดว่า กลุ่มผู้ต้องหาคนบนเรือที่ “แตงโม” ตกน้ำเสียชีวิตนั้น มีคนคอยให้คำปรึกษา คุมเกมการให้การ หรือเป็น “กุนซือ” จนทำให้คดีล่าช้า สังคมไขว้เขว ซึ่งข่าวชี้เป้าไปที่ “ทนายตั้ม” จนเจ้าตัวต้องออกมาโพสต์ข้อความ และ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงกรณีถูกพาดพิง ในเวลาต่อมา
ความนี้ “ทนายตั้ม” เชื่อว่า ข่าวปล่อยออกมาจากตำรวจ ให้ทีวีช่องหนึ่ง และพูดให้กำกวมว่า มีทนายคนหนึ่งเป็นนักกฎหมาย จนทำให้สังคมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวเขาแน่ๆ แต่เวลาต่อมา เมื่อ “ทนายตั้ม” เคลื่อนไหว บอกจะแฉตำรวจกลับ ตำรวจจึงบอกว่า ไม่ใช่ทนายคนดังรายนี้ และเตรียมจะออกหมายจับ “กุนซือ” ที่ยังเปิดเผยชื่อไม่ได้ ว่าเป็นใคร
งานนี้ “ทนายตั้ม” เดือดปุดๆ เพราะข่าวปล่อยเชื้อเชิญทัวร์มาลงที่เขาหลายวัน ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ดีๆ เจตนาของเกมนี้ มองว่า ตำรวจต้องการเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องการทำคดี ให้คนสนใจว่าตำรวจทำงานบกพร่อง ล่าช้า กลบจุดที่ผิดพลาดของตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเก็บพยานหลักฐาน เรือที่เกิดเหตุกี่วันถึงจะยกไปเก็บ ไม่มีการสอบทั้ง 5 คน บนเรือตั้งแต่คืนแรกที่เกิดเหตุ ซึ่งจะไม่มีเวลาได้ปรึกษาใครได้ แต่ตอนนี้กลับจะมาโยนบาปว่าเป็นเพราะมี “กุนซือ” ซึ่งไม่รู้ว่าใคร
นี่คือ การเบี่ยงเบนประเด็น แต่เลือกผิด เลือกเอาทัวร์มาลงที่เขา ดังนั้น จะขอเอาคืน ให้ทัวร์ไปลงตำรวจบ้าง ด้วยการแฉว่าเคยไปให้การกับพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุไม่กี่วัน วันนั้นได้เจอผู้การนนทบุรี ผู้กำกับ สภ.เมืองนนท์ และ อีก 3-4 คน ที่ไม่รู้เป็นใคร ตำรวจได้ขอให้ “ทนายตั้ม” ให้การในแนวที่ว่าคนบนเรือที่มาคุยกับเขา โดยเฉพาะ “ปอ” กับ “โรเบิร์ต” ว่า ไม่มีพิรุธ!
ตอนนั้น “ทนายตั้ม” บอกว่า เอะใจ ทำไมจะให้ตัวเขาให้การแบบนี้ จะให้ไปยืนยันว่าผู้ต้องหาไม่มีพิรุธอะไร จะให้การอย่างนั้นไม่ได้ ใครจะมีพิรุธ หรือไม่มีพิรุธ ไม่ใช่หน้าที่ของเขา ถ้าอย่างนี้ใครเป็นคนบงการกันแน่ ?
ทีนี้ตำรวจว่าอย่างไร หลัง “ทนายตั้ม” โยนระเบิดเข้าใส่แบบนี้ ที่ สภ.เมืองนนทบุรี “พล.ต.ต.อุดร ยอมเจริญ” รอง ผบช.ภ.1 ในฐานะโฆษกคดีการเสียชีวิตของ “แตงโม” แถลงว่า ในส่วนผู้ที่เป็นกุนซือในคดีนี้ ยืนยันว่า มีแต่ไม่ใช่ทนายตั้มแน่นอน เบื้องต้นพบว่า มี 1 คน ที่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ตามข้อหา มาตรา 184 เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด และข้อหามาตรา 171, 182 สอดรับกันไปภายใน 1-2 วันนี้ จะไปขออนุมัติหมายจับจากศาล แต่จะเป็นใครไม่สามารถตอบได้ ถ้าศาลไม่ออกหมายจับ ก็จะออกหมายเรียกแทน
กุนซือคนที่ว่านี้ มีความเกี่ยวข้องกับทั้ง 5 คนบนเรือ มีการสื่อสารพูดคุย การพูดคุยลักษณะที่เป็นความเห็น คำแนะนำคดีเกิดก่อน คดีเกิดหลัง การให้ความช่วยเหลือเป็น
สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรูปคดีทั้งหมด สถานการณ์นี้อยู่ในพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานพยานบุคคล และพยานทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้มา
“พล.ต.ต.อุดร” ยืนยันว่า การดำเนินคดีกุนซือ ไม่ได้มีการเบี่ยงเบนประเด็น เพราะคดีนี้ประชาชนสนใจ ไม่มีใครกล้าเบี่ยงเบนประเด็นแน่นอน และก็เชื่อว่า พนักงานสอบสวนชุดนี้ทำอย่างเต็มที่ ไม่มีเกียจคร้าน สินบน รางวัลน้ำใจ หรือช่วยเหลือใครบางคน... ไม่มีเด็ดขาด!!
สรุปว่า งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับชาวเน็ตจะเชื่อถือ และเชื่อใจใคร ระหว่าง “ทนายตั้ม” กับตำรวจคดีนี้ ในการบังคับบัญชาของ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่กระโดดลงมาคุมคดีนี้ด้วยตัวเอง จะจัดคณะทัวร์ลงจอดที่ไหน ก็ใช้ดุลพินิจเลือกกันตามอัชฌาศัยเลยนะจ๊ะ.
** คลิปหลุดยืมเงิน 15 ล้าน “แรมโบ้” อ้างแค่คุยหยอกๆ “ลุงตู่” บอกถ้าผิดก็ไม่เอาไว้
กรณี “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์คลิปเสียงผ่านเพจเฟซบุ๊ก ระบุว่า คล้ายเสียงของ “แรมโบ้อีสาน” นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และรองประธานแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคา คุยกับนักการเมืองหญิงคนหนึ่งในพรรคเดียวกัน มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดสรรผลประโยชน์ในโควตาสลาก และมีช่วงหนึ่งที่พูดถึงเรื่องที่เคยได้รับเงินจากบุคคลปริศนา 15 ล้านบาท เพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่ตอนนี้บุคคลผู้นี้ กำลังถูกตำรวจตรวจสอบ เกี่ยวกับโควตาสลาก จึงเกรงว่าบุคคลดังกล่าว จะอ้างชื่อและทำให้การกวาดล้างกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวกับโควตาสลาก เสียหาย โดยนำเรื่องเงิน 15 ล้านบาท มาเปิดโปง และพูดยังถึงการยืมเงินจากหญิงคู่สนทนา 15 ล้านบาท
ช่วงหนึ่งชายในคลิประบุว่า... “ตอนนั้นมันก็ไม่รู้ประวัติมัน ว่า เป็นเรื่องโควตาลอตเตอรี่ มันก็เอาเงินมาให้พี่ ช่วยพี่เลือกตั้ง 15 ล้าน พี่สู้กับโรงแป้ง หมดเป็น 100 ล้าน”
ต่อมา “แรมโบ้” ยอมรับว่า เสียงชายในคลิปคือเสียงตนเอง เป็นการพูดหยอกๆ กับ “จุรีพร สินธุไพร” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และข้าราชการการเมืองประจำสำนักนายกฯ แต่มีการตัดต่อ ทำให้ตนเองได้รับความเสียหาย เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของตนในการทำหน้าที่กวาดล้างขบวนการขายสลากเกินราคา จึงได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ที่ สน.ดุสิต เอาผิดผู้ที่อัดคลิป และนำไปเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย
“แรมโบ้” บอกว่า รู้จักกับ “จุรีพร” มาร่วม 20 ปี พูดคุยหยอกล้อกันเล่นเหมือนพี่น้อง โดยเฉพาะเรื่องการยืมเงิน... พร้อมยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใดๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่มีอำนาจในการจัดโควตาสลากให้ใครทั้งสิ้น มีแต่รับบัญชาตามคำสั่งนายกฯ ให้แก้ไขปัญหาสลากแพงเกินราคาเท่านั้น ... อีกทั้งคลิปเสียงมีการตัดต่อ นำเนื้อหาบางส่วนออกไป ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เชื่อว่า เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง หวังผลให้กระทบไปถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะใครๆ ก็รู้ว่าตนเองนั้นเป็นองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ ทำงานให้ลุงตู่แบบถวายหัว ...
เช่นเดียวกับ “จุรีพร สินธุไพร” ก็ยอมรับว่า เสียงผู้หญิงในคลิปเป็นเสียงของตน แต่เป็นเพียงการพูดหยอกล้อกับ “แรมโบ้” เรื่องการยืมเงิน ไม่เกี่ยวกับโควตาสลาก ส่วนคลิปที่หลุดออกไปนั้น รู้แล้วว่าใครเป็นคนอัดคลิปเสียง เพราะระหว่างที่ตนคุยกับ “แรมโบ้” ได้เปิดสปีกเกอร์โฟนคุยกัน และมีคนนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
สำหรับ "จุรีพร" นั้น เป็นน้องสาวของ “นิสิต สินธุไพร” อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เคยเป็นอดีต รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร้อยเอ็ด และเคยเป็นหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงพัทยา ที่นำมวลชนบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เมื่อปี 2552 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ... ส่วนสามีของ “จุรีพร” ก็คือ “พ.ต.อ.ศุภชัย ผุยแก้วคำ” ผู้กำกับประจำสำนัก ผบ.ตร. เคยถูก คสช. เรียกไปรายงานตัว ในช่วงรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57
ด้าน “ลุงตู่” เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะมีเสียงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง และอาจถูกมองว่า มีส่วนรู้เห็น หรือใช้คนของตัวเองทำงานให้ตัวเองได้ประโยชน์ หรือไม่ โดย “ลุงตู่” บอกว่า ได้เรียก “แรมโบ้” มาสอบถาม เจ้าตัวก็ยอมรับว่าถ้าผิดกฎหมาย ก็ยอมรับทุกอย่าง ซึ่งตนก็ให้โอกาสเขา ... ก็ให้เขาพิสูจน์ตัวออกมา ตอนนี้ก็ยังไม่ทำอะไรทั้งนั้น เพราะมันทำงานร่วมกันอยู่ ถ้าใครไม่ดี ตรงนั้นมันก็ต้องลงโทษ หาวิธีการปรับเปลี่ยนอะไรก็ว่ากันไป งานใหญ่ก็อย่าทำให้เสียหายเท่านั้นเอง มันเป็นคนหนึ่งในคณะทำงาน ก็มีความตั้งใจ...
แม้ “ลุงตู่” จะแสดงท่าทีเช่นนั้น แต่กระแสในโซเชียลก็มีไม่น้อย ที่เห็นว่า สุดท้ายแล้วอาจจบลงในแบบ “ลูบหน้าปะจมูก” และไม่เชื่อว่าเรื่องยืมเงิน 15 ล้าน เป็นการพูดหยอกๆ
อย่างเช่น “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงเรื่องนี้ว่า กกต. ต้องใส่ใจในเรื่องนี้ เพราะมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม ต้องเรียกนักการเมืองทั้งสองมาชี้แจงว่า เกิดอะไรขึ้น มีการใช้เงิน 100 ล้าน ในการหาเสียงเลือกตั้ง จริงหรือไม่ โดยตั้งโจทย์เป็นข้อๆ ดังนี้
1. หากใช้เงินซื้อเสียง ผิดแน่นอน ไม่ว่าจะได้รับเลือก หรือไม่ได้รับเลือก ไม่มีอายุความ หาก กกต. สอบสวนแล้วเป็นจริง กกต.ต้องยื่นศาลฎีกาเพื่อเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือ สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
2. หากสอบแล้วว่ามีการซื้อเสียง ยังมีโทษอาญา เท่ากับผิดมาตรา 73(1) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. โทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
3. จะใช้ 15 ล้าน หรือ 100 ล้าน เพื่อสู้ฝ่ายตรงข้ามในการเลือกตั้ง เท่ากับแจ้งบัญชีรายรับรายจ่าย หลังเลือกตั้งเป็นเท็จ ผิดมาตรา 155 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุก 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
4. เรื่องนี้ หากเป็นข่าวครึกโครม ถือเป็นความปรากฏ ที่ กกต. สามารถหยิบยกขึ้นมาพิจารณา โดยไม่ต้องมีผู้ร้องก็ได้
5. ดีที่สุดกรณีนี้ ผู้มีส่วนได้เสีย คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขต 10 นครราชสีมา ควรยื่นคำร้องให้มีการสอบสวนต่อ กกต. เพื่อเป็นต้นเรื่องดำเนินการ
6. หาก กกต.ไม่หยิบยกขึ้นมาพิจารณา สามารถฟ้อง อาญามาตรา 157 แก่ กกต. ทั้ง 7 คนได้ โดยแจ้งความกล่าวโทษได้ทุกโรงพัก ...
เรื่องนี้ต้องติดตามว่า ระหว่าง “ลุงตู่” กับ “กกต.”ใครจะขยับก่อนกัน ...แล้ว “แรมโบ้” จะถูกหวยรางวัลใหญ่ หรือแค่หางเลข ต้องจับตา