ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“เอ๋-ปารีณา” โดนอีกดอก ป.ป.ช.จับโป๊ะ เจ้าหนี้เงินกู้ พระสมเด็จ-นางพญา ทิพย์ล้วนๆ
“เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์” นักการเมืองหญิงราชบุรี บุตรสาว “ทวี ไกรคุปต์” ผู้มากสีสันคนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ จากการทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ลุงๆ ก่อนหน้านี้ หายไปจากจอเรดาร์หน้าสื่อและโซเชียลฯ ไปนาน เพราะ ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หลังศาลฯรับคำร้องในคดีฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯอย่างร้ายแรง จากการถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด กรณีถูกดำเนิน “คดีฟาร์มไก่” บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนใน จ.ราชบุรี ตามที่กองบังคับการตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ (บก.ปทส.) แจ้งข้อกล่าวหาในคดีอาญา ไปก่อนหน้านี้
“เอ๋-ปารีณา” โผล่มาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ไปแซะ ไปว่าใคร แต่เป็นวิบากกรรม “อีกดอก” โดน ป.ป.ช. “จับโป๊ะ” บัญชีทรัพย์สินที่แจ้งไว้ไม่ตรงตามความเป็นจริง
ฟังว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหญ่ มีมติชี้มูลความผิด “น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์” กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ใน 2 ประเด็น
กรณีแรก การเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ 7.7 ล้านบาท ซึ่งจากการไต่สวนเจ้าของเช็คเงินกู้ ให้การปฏิเสธ เป็นการปล่อยกู้ตีเช็คเปล่าค้ำประกัน ไม่มีการกู้กันจริง แต่คาดว่า นำเงินไปใช้เพื่อลงเลือกตั้ง โดยบุคคลที่เป็นลูกหนี้ตามที่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน คือ “ประทีป มีพรบูชา” นายกเทศมนตรี ตำบลคลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
กรณี พระสมเด็จบางขุนพรหม 2.5 ล้านบาท พระนางพญา ราคา 3.5 ล้านบาท ที่แจ้งในบัญชีทรัพย์สิน มีการนำพระอื่นมาแสดงแทน
ส่วนกรณีการแจ้งครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท.5 รวม 58 แปลง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นข้อกล่าวหา กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ที่ก่อนหน้านี้ “ปารีณา” ยืนยันว่า รายการที่ดิน ภ.บ.ท.5 ที่ครอบครองอยู่จริง มีเพียง 29 แปลง ไม่ใช่ 58 แปลง แต่ที่แจ้งไปด้วยตัวเลขดังกล่าว เนื่องจากฝ่ายบัญชีคลาดเคลื่อนในการยื่นบัญชีทรัพย์สิน เป็นอันรอดตัวไป โดยที่ประชุมเห็นว่า ไม่เป็นการจงใจยื่นบัญชีเท็จ
ขั้นตอนต่อไปจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อวินิจฉัยชี้ชะตา ส.ส.คนดังต่อไป
จากคดีฟาร์มไก่ มาถึงโป๊ะแตก ทั้งเจ้าหนี้เงินกู้-และพระเครื่องดังราคาแพง แต่เป็นเรื่องทิพย์ โดนดอกนี้ น่าสนใจว่า “เอ๋-ปารีณา” จะกลับมาอย่างไร ต้องติดตาม
** “ศิธา ทิวารี” โดดลงสนามผู้ว่าฯ กทม. สังกัดพรรค “ไทยสร้างไทย” ของเจ๊หน่อย
มีความชัดเจนขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยวันศุกร์นี้ (25 มี.ค.) กกต.จะออกประกาศ กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา พร้อมกำหนดรับสมัครระหว่างวันที่ 31 มี.ค.- 4 เม.ย.
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. อาทิ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี หรือเทียบเท่า มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
ส่วนลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใด อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราว หรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ต้องคำพิพากษาให้จำคุก และถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติมิชอบในวงราชการ เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง เป็นต้น
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของผู้ว่าฯ กทม. แต่ละคนใช้จ่ายได้ไม่เกิน 49 ล้านบาท
ส่วนตัวบุคคลที่จะสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เพิ่มเติม ก็มีรายงานว่า “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานพรรคไทยสร้างไทย ก็เตรียมส่งผู้สมัคร ส.ก. และผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ลงสู้ศึกครั้งนี้เช่นกัน โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มี.ค.นี้
สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.นี้ “เจ๊หน่อย” เคยลงไปสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่แพ้ “สมัคร สุนทรเวช” การเลือกตั้งครั้งนี้ มีข่าวว่า “เจ๊หน่อย” จะส่ง “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี ที่เป็นเหมือน “เด็กในบ้าน” ลงสานฝันของตัวเองอีกครั้ง
“ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี เกิดวันที่ 6 พ.ย. 2507 เป็นบุตรของ “มานพ ทิวารี” กับ ม.ร.ว.จารุวรรณ ทิวารี จบมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนเซนต์ดอมินิก รุ่นที่ 15 ส่วนมัธยมศึกษาตอนปลาย จบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 24 (ตท.24) โดยเป็นประธานรุ่น และ ระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต จากโรงเรียนนายเรืออากาศ รุ่น 31
จากนั้น เข้ารับราชการ กองทัพอากาศ และได้เป็นนักบินขับไล่ F-5 และ ไต่เต้ามาเป็นนักบินขับไล่ F-16 ประมาณ 8 ปี โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนลาออกจากราชการ เป็นรองหัวหน้าแผนกแผนร่วม กองนโยบายและแผน กรมยุทธการ กองทัพอากาศ
“น.ต.ศิธา” ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สังกัดพรรคไทยรักไทย ในปี 2543 ที่เขตคลองเตย ก่อนถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี จากคดียุบพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2549
ช่วงปี 2545-2546 เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ปี 2546-2548 เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ปี 2548-2549 เป็นเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ปี 2556-2557 เป็นประธานกรรมการ บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
เมื่อ “เจ๊หน่อย” ออกจากพรรคเพื่อไทย มาตั้งพรรคไทยสร้างไทย “ผู้พันปุ่น” ก็มาร่วมด้วยช่วยกัน ในตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการอำนวยการและพัฒนาพรรคไทยสร้างไทย โดยบอกว่า อยากมาเป็นนั่งร้านให้คนรุ่นใหม่ที่เก่งๆ ได้เข้ามาในการเมืองเยอะๆ เพื่อมาช่วยสร้างอนาคตให้ประเทศชาติ
เมื่อ “ผู้พันปุ่น” ลงสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็ต้องไปสู้กับคนอื่นที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ อย่างเช่น "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" ผู้สมัครอิสระ “สกลธี ภัททิยกุล” ผู้สมัครอิสระ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” จากพรรคก้าวไกล “สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ “ประยูร ครองยศ” จากพรรคไทยศรีวิไลย์ “รสนา โตสิตระกูล” ผู้สมัครอิสระ
แต่งานนี้ “เจ๊หน่อย” มีไม้เด็ด บอกว่า...ไม่ว่าคนกรุงเทพฯ จะเลือก ส.ก. ของพรรคไทยสร้างไทยคนไหน ก็จะได้ “สุดารัตน์” เป็น ส.ก.แถมไปอีกคนหนึ่ง ...เช่นเดียวกัน ถ้าคนกรุงเลือก “น.ต.ศิธา ทิวารี” เป็นผู้ว่าฯ กทม. ก็จะได้ “สุดารัตน์” ไปเป็นผู้ช่วยผู้ว่าฯ กทม.อีกคนหนึ่ง และจะขอใช้ประสบการณ์ 30 ปี เป็นฐานรองรับการทำงานให้ทีม ส.ก. และผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคไทยสร้างไทย แบบใจเต็มร้อย..
งานนี้ “ผู้พันปุ่น” จะสานฝัน “เจ๊หน่อย” ให้เป็นจริงได้หรือไม่ ต้องติดตาม!!