วันนี้(19 มี.ค.)นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล เข้าพบพนักงานสอบสวน หลังถูกออกหมายจับในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อต้นปี 2563 ว่า ทั้งนายรังสิมันต์ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มักชอบปล่อยข้อมูลเท็จให้สังคม เพราะคดีความที่นายรังสิมันต์ ถูกดำเนินคดีอยู่นั้น คู่กรณีคือมูลนิธิป่ารอยต่อ ซึ่งถูกจัดตั้งบุคคลอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประวิตร แต่พยายามบิดเบือนใส่ร้าย เมื่อถูกดำเนินดคีทุกอย่างก็เป็นไปตามข้อกฎหมาย ทั้งนี้ นายรังสิมันต์ เองก็มีสิทธิ์นำข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมาให้กับตำรวจ แล้วจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องออกมาโวยวายให้ประชาชนออกมาช่วยเหลือเลย
"มูลนิธินี้ ตั้งโดยคนที่เหนือกว่า พล.อ.ประวิตร มาก เขาเสียหายก็ต้องฟ้องร้อง สาเหตุที่ไปแจ้งที่ สน.บางขุนนนท์ อาจเป็นเพราะอยู่ในพื้นที่ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ซึ่งสนิทสนมกับนายรังสิมันต์ ถ้าจะกลั่นแกล้งจริงคงไปแจ้งที่ไกลๆอย่างภาคใต้ หรือเหนือสุดไม่ดีกว่าหรือ ไม่เห็นต้องโวยวายให้ชาวบ้านมาช่วย การเป็นผู้แทน ต้องคอยปกป้องประชาชน ไม่ใช่พอถูกคดีกลับเรียกให้ชาวบ้านมาช่วย"นายสามารถ กล่าว
นายสามารถ ยังฝากไปถึงนายรังสิมันต์ว่า หากจะให้ข้อมูลใด ต้องคิดให้ดี มีข้อกฎหมายให้แม่นอย่างใส่ร้ายป้ายสี โดยเฉพาะข้อบังคับการประชุมที่ 45 ที่ระบุว่าในการอภิปรายต้องอยู่ในประเด็นหรือเกี่ยวกับประเด็น ที่กำลังปรึกษาอยู่ ต้องไม่ฟุ่มเฟือย วนเวียน ซ้ำซาก หรือซ้ำกับผู้อื่น และห้ามนำเอกสารใดมาอ่านในที่ประชุมรัฐสภาโดยไม่จำเป็น และห้ามนำวัตถุใดเข้ามาแสดงในที่ประชุมรัฐสภา ทั้งนี้เว้นแต่ประธานจะอนุญาต ห้ามผู้อภิปราย แสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้าย หรือเสียดสีบุคคลใด และห้ามกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์หรืออกชื่อสมาชิกรัฐสภาหรือบุคคลใด โดยไม่จำเป็น แต่หากคำพูดของนายรังสิมันต์เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 329 อยู่แล้ว ฉะนั้นภายใต้รัฐธรรมนูญทุกคนได้สิทธิ์ในการแสดงออก แต่ต้องไม่ละเมิดผู้อื่น หากมีการใส่ร้าย พล.อ.ประวิตร อีก ก็อาจถูกดำเนินคดีอีกคดีก็เป็นได้